การต่อสู้ระหว่าง Top Gun: Maverick และ Spider-Man: No Way Home ในสัปดาห์วันแรงงานของอเมริกา (2-5 กันยายน) นั้นดุเดือดกว่าที่คิด แต่ในท้ายที่สุดหลังการแข่งขันกันหลายวัน ชัยชนะในครั้งนี้ก็ตกไปเป็นของ Top Gun: Maverick ภาพยนตร์ที่มาแรงที่สุดของปี 2022

ในช่วงสุดสัปดาห์วันแรงงานของอเมริกา โรงภาพยนตร์ได้กลับมาคึกคักอีกครั้ง มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่กลับมาทำเงินได้ในช่วงสุดสัปดาห์วันหยุดนี้ ซึ่งภาพยนตร์ที่แข่งขันกันอย่างสูสี ได้แก่ Top Gun: Maverick และ Spider-Man: No Way Home โดยภาพยนตร์ Top Gun: Maverick เป็นภาพยนตร์ที่เข้าฉายครั้งแรกในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และได้รับความนิยมไปทั่วโลก ทำรายได้ทั่วโลกไปแล้วกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ และกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดประจำปี 2022 ส่วนภาพยนตร์ Spider-Man: No Way Home ได้เข้าฉายครั้งแรกในช่วงปลายปีที่แล้ว และก็ได้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในปี 2021 ด้วยเช่นกัน ซึ่งทาง Sony Pictures ได้ตัดสินใจนำภาพยนตร์เรื่องนี้กลับเข้ามาฉายในโรงภาพยนตร์อีกครั้ง พร้อมกับเพิ่มเนื้อหาพิเศษเข้าไปอีก 11 นาที รวมถึงฉากหลังเครดิตอันใหม่ที่แทนที่ตัวอย่างของ Doctor Strange and the Multiverse of Madness ซึ่งเดิมทีถูกใช้เป็นฉากท้ายเครดิตในเวอร์ชันต้นฉบับ

หลังจากการแข่งขันกันหลายวัน ตอนนี้เราก็ได้รู้แล้วว่าใครจะเป็นที่ 1 ในช่วงสุดสัปดาห์วันแรงงาน (2-5 กันยายน) ตามรายงานล่าสุดของ Deadline รายงานว่า ภาคต่อของ Tom Cruise อย่าง Top Gun: Maverick ทำเงินในสุดสัปดาห์นี้ได้ทั้งสิ้น 7.9 ล้านดอลลาร์ ขึ้นเป็นอันดับ 1 บนบ็อกซ์ออฟฟิศอเมริกาในสุดสัปดาห์วันแรงงาน แต่ที่น่าแปลกใจคืออันดับที่ 2 นั้นกลับกลายเป็น Bullet Train ที่ทำรายได้ไปทั้งสิ้น 7.3 ล้านดอลลาร์ แซงหน้า Spider-Man: No Way Home ได้ในช่วงโค้งสุดท้าย ทำให้ Spider-Man: No Way Home ตกไปอยู่ในอันดับ 3 ด้วยรายได้ 6.55 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม เดิมทีในวันที่ 3 กันยายน (รายได้จาก 2 วันแรก) อันดับ 1 ได้แก่ Spider-Man: No Way Home ที่ทำรายได้อยู่ที่ 3.96 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยอันดับ 2 อย่าง Top Gun: Maverick ด้วยรายได้ 3.71 ล้านดอลลาร์ และอันดับ 3 คือ Bullet Train ด้วยรายได้ 3.48 ล้านดอลลาร์ จนที่ในวันที่ 4 กันยายน Spider-Man: No Way Home ได้ตกไปอยู่ในอันดับ 3 ด้วยรายได้ 5.375 ล้านดอลลาร์ ส่วน Top Gun: Maverick ขึ้นเป็นอันดับ 1 ด้วยรายได้ 6 ล้านดอลลาร์ และตามด้วยอันดับ 2 คือ Bullet Train ด้วยรายได้ 5.71 ล้านดอลลาร์ โดยในวันที่ 5 อันดับก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงและจบด้วย Top Gun: Maverick เป็นอันดับ 1

ก่อนหน้านี้ Brian Robbins ประธานและซีอีโอของ Paramount Pictures ได้เคยออกมาพูดถึงภาพยนตร์ Top Gun: Maverick เอาไว้ว่า

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า Top Gun: Maverick เป็นพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่แท้จริงที่รวบรวมพลังของประสบการณ์การรับชมภาพยนตร์ ในขณะที่เราเฉลิมฉลองความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้ และผลกระทบมหาศาลของภาพยนตร์เรื่องนี้ เราต้องการแสดงความขอบคุณต่อ Tom Cruise ผู้สร้างภาพยนตร์และนักแสดงของเรา ทีมการตลาดและการจัดจำหน่ายของ Paramount และกองทัพแฟนๆ ของ Top Gun ทั้งใหม่และเก่า ที่เปิดใจมาเพลิดเพลินไปกับภาพยนตร์ที่น่าทึ่งนี้

นอกจากประสบความสำเร็จในการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์แล้ว Top Gun: Maverick ยังประสบความสำเร็จในการจัดจำหน่ายแบบดิจิทัลอีกด้วย ซึ่งการเปิดตัวแบบดิจิทัลของ Top Gun: Maverick ในอเมริกานั้นเป็นการขายในสัปดาห์แรกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของภาพยนตร์ดิจิทัล ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายินดีอย่างยิ่ง และหากเรามองย้อนกลับไปที่ภาพยนตร์ Top Gun ภาคแรกในปี 1986 เราจะได้รู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เปลี่ยนแปลงตลาดของม้วนวิดีโอ (Video Home System-VHS) ไปตลอดกาล เนื่องจากตอนที่ม้วนวิดีโอของ Top Gun ออกวางขายครั้งแรกในปี 1987 ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้กลายเป็นเทปวิดีโอที่ทำยอดขายได้ดีที่สุดตลอดกาล ในขณะที่ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ในช่วงแรกๆ นั้นจะตั้งราคาชายม้วนวิดีโออยู่ที่ 75 ดอลลาร์ หากเทียบตามอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 200 ดอลลาร์ หรือ 7,000 กว่าบาท ซึ่งเป็นราคาที่แพงมากสำหรับคนทั่วไป ทว่าทาง Paramount Pictures ได้ตัดสินใจโอบรับผู้ชมจำนวนมากด้วยภาพยนตร์ Top Gun ซึ่งมีราคาต่ำกว่าราคาตลาดอย่างมาก โดยมีราคาขายอยู่ที่ 26.95 ดอลลาร์ และได้เปลี่ยนโฉมหน้าของตลาดความบันเทิงภายในบ้านไปตลอดกาล

ภาพยนตร์เรื่อง Top Gun: Maverick กำกับการแสดงโดย Joseph Kosinski เขียนบทโดย Christopher McQuarrie, Ehren Kruger และ Eric Warren Singer ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดย Tom Cruise, Miles Teller, Jennifer Connelly, Jon Hamm, Glen Powell, Lewis Pullman, Charles Parnell, Bashir Salahuddin, Monica Barbaro, Jay Ellis, Danny Ramirez, Greg Tarzan Davis, Ed Harris และ Val Kilmer ปัจจุบันนี้ Top Gun: Maverick สามารถรับชมได้แล้วทาง Apple TV และ True ID ส่วนแพลตฟอร์มอื่นๆ คงต้องรอติดตามดูกันต่อไปว่าจะมีเอามาเข้าฉายไหม นอกจากนี้ยังมีการเปิดพรีออเดอร์สำหรับใครที่อยากเก็บในรูปแบบ 4K, UHD และ Blu-ray สั่งซื้อล่วงหน้าได้ที่นี่: Amazon