“ฉายเฉพาะในโรงภาพยนตร์เท่านั้น” หลายบริษัทออกมาทำแคมเปญนี้เพื่อชวนให้ผู้ชมกลับไปยังโรงภาพยนตร์อีกครั้ง
ในระยะสองปีหลัง ฮอลลีวูดผลักดันการตลาดแบบครบวงจรอย่างเต็มที่ ในขณะที่วงการภาพยนตร์ก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ภาพยนตร์หลายเรื่องก็ต้องปรับตัวไปฉายผ่านในรูปแบบต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป และล่าสุดในช่วงเวลาที่โรงภาพยนตร์เริ่มฟื้นตัว ทางสตูดิโอต่างๆ ก็เริ่มกลับเข้าทำงานอย่างเต็มที่และเริ่มหันกลับมาใช้โรงภาพยนตร์ในการเผยแพร่ภาพยนตร์ของตัวเองสู่ผู้ชมทั่วโลก อย่างไรก็ตามทางผู้เชี่ยวชาญจากในวงการฮอลลีวูดและวงการภาพยนตร์ก็ยังคงเชื่อว่าผลกระทบจากยุคโควิดก็ยังจะคงดำเนินต่อเนื่องไปอีกนาน
Paul Dergarabedian นักวิเคราะห์อาวุโสของ Comscore ได้กล่าวว่า
ด้วยการปรับตัวมาใช้กลยุทธ์แบบไฮบริด โดยฉายทั้งโรงภาพยนตร์และฉายผ่านสตรีมมิงมันทำให้มีความไม่ชัดเจนอยู่มาก ส่งผลต่อเนื่องไปยังเหล่าผู้ชมที่กำลังสับสนว่าควรจะเลือกอย่างไหนดี ซึ่งนี่คือปัญหาสำคัญที่จะต้องได้รับการแก้ไขต่อไปในอนาคต
ในช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นลองอะไรหลายๆ อย่าง ทางสตูดิโอเจ้าใหญ่เจ้าดังก็ได้ลองวิธีทางการตลาดอะไรที่ไม่เคยได้ลองทำมาก่อนในช่วงยุคโควิด และนั่นคือเหตุผลว่าทำไม Black Widow (2021) จากทาง Marvel ถึงได้เปิดตัวพร้อมกันกับภาพยนตร์เรื่อง The Matrix Resurrections (2021) จากทาง Disney+, Dune (2021) และรวมไปถึงภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ จากทาง Warner Bros. รวมไปถึงการเปิดตัว A Quiet Place Part II (2020) ใน HBO Max และที่สำคัญคือ Paramount ได้ย้ายตัวเองไปที่ Paramount+ ด้วยการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจทำให้ค่าบริการจากทางสตรีมมิงต่างๆ เพิ่มขึ้นได้ พร้อมกับการพยายามขยับขยายแพลตฟอร์มของตัวเองและสร้างกระแสวัฒนธรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในวงการภาพยนตร์อีกด้วยเพื่อความชัดเจนและตอบรับกับความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน
ท่าทีและความกังวลต่อโรคระบาดไวรัสโควิด-19 ก็ดูเหมือนจะลดลงแล้วและการทดลองฉายผ่านสตรีมมิงต่างๆ ก็ลดลงแล้ว ทางฝ่ายผู้บริหารการตลาดจึงได้พยายามจะทำให้ความสับสนของเหล่าผู้ชมลดลงด้วย เพื่อให้ผู้ชมภาพยนตร์ได้สามารถได้ตัดสินใจได้อย่างสะดวกมากขึ้นว่าอยากจะรับชมภาพยนต์เรื่องนั้นเรื่องนี้ได้จากที่ใดบ้าง และในทางปฎิบัติสำหรับภาพโปสเตอร์ที่จะมีแค่การกำหนดวันฉายคงไม่เพียงพออีกต่อไป อาจจะต้องเพิ่มว่าจะมีช่องทางการฉายที่ใดบ้างลงไปอีกด้วย
Josh Goldstine ประธานฝ่ายการตลาดของ Warner Bros. ได้กล่าวว่า
เพื่อให้ผู้บริโภคได้เข้าใจถึงความแตกต่างที่เกิดขึ้น เราจึงต้องชัดเจนและยืนยันกับเหล่าผู้ชมด้วยการแบ่งแยกระหว่างการฉายผ่านสตรีมมิงและการฉายในโรงภาพยนตร์
ทางสตูดิโอหลายๆ ที่จึงต้องทำงานและตัดสินใจทบทวนเพื่อยืนยันกับผู้ชม อย่างภาพยนตร์เรื่อง Elvis ก็ได้ยืนยันและประกาศออกมาแล้วว่าจะไม่สามารถรับชมผ่านทาง HBO Max ได้ และล่าสุดอย่างในภาพยนตร์เรื่อง Thor: Love and Thunder จากทาง Marvel ก็จะไม่สามารถรับชมได้ถ้าไม่ได้ชำระค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
Danielle Misher หัวหน้าฝ่ายการตลาดของทาง Sony ได้ให้ความเห็นว่า
ทางเราใช้ทุกช่องทางและพื้นทางบนสื่อต่างๆ เพื่อโปรโมทภาพยนตร์ของเราที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ไม่ใช่แค่ป้ายโฆษณาและรถที่ติดป้ายเพื่อชวนผู้ชมเท่านั้น อย่างใน Spider-Man: No Way Home (2021) และ Where the Crawdads Sing (2022) รวมไปถึงผลงานอื่นๆ ก็ได้ชี้ให้เราเห็นถึงประสบการณ์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะในช่วงกลางวันหรือกลางคืน และในอีเวนท์การเดินพรมแดงต่างๆ มันก็สะท้อนให้เราเห็นอย่างชัดเจนเลยว่าเราต้องมีความสม่ำเสมอเพื่อให้มันชัดเจนยิ่งขึ้น
แรงผลักดันทางการตลาดก็เริ่มเห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้นจากข้อมูลใหม่ของเหล่านักวิจัยในวงการภาพยนตร์ Guts + Data กับแนวคิดของ Theatrical windows ซึ่งเป็นศัพท์เฉพาะของวงการภาพยนตร์เวลาที่จะกล่าวถึงภาพยนตร์ที่กำลังฉายในโรงภาพยนตร์เท่านั้น ซึ่งมันก็มีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคที่ชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ทั้งหมด 600 คน ประมาณครึ่งหนึ่งของทั้งหมดสามารถเลือกได้ว่าจะชมภาพยนตร์เรื่องใดที่ไหนได้อย่างไม่ลังเล ซึ่งก็สร้างความหวังใหม่ให้กับผู้บริหารทางการตลาดที่กำลังผลักดันการขายตั๋วให้กับผู้ชมในช่วงสุดสัปดาห์
ในหนึ่งสัปดาห์ก่อนเปิดตัว Thor: Love and Thunder 52% ของผู้ตอบแบบสำรวจเข้าใจอยู่แล้วภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เท่านั้น ส่วนอีก 38% เข้าใจผิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายผ่านทาง Disney+ และ 10% เข้าใจว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีเฉพาะในสตรีมมิงเท่านั้น
และในส่วนของ Minions: The Rise of Gru จากทาง Universal และIllumination ที่ได้เปิดตัวไปในช่วงสุดสัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม จากแบบสำรวจทั้งหมด 48% เข้าใจอยู่แล้วภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เท่านั้น ในขณะที่อีก 40% เข้าใจว่าจะมีฉายทั้งในโรงภาพยนตร์และฉายบนสตรีมมิง ส่วนอีก 12% เข้าใจว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีเฉพาะในสตรีมมิงเท่านั้น
ด้วยปัญหาการแบ่งฉายระหว่างโรงภาพยนตร์และสตรีมมิงตั้งแต่โรคระบาดได้เริ่มขึ้น บริษัทอย่าง Amazon ได้เปิดตัวภาพยนตร์ของตัวเองขึ้นมาบ้าง แต่มีขนาดสั้นกว่าภาพยนตร์ที่ฉายผ่านทาง Netflix และยังมีดราดังหลายๆ คน ไปร่วมถ่ายทอดผลงานลงบนแพลตฟอร์มนั้น จนทำให้ผู้ชมที่ได้เห็นโฆษณาจากบน TikTok หรือเห็นผ่านภาพโปสเตอร์บนรถไฟใต้ดิน ไม่เข้าใจว่าจริงๆ แล้วภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายที่ไหนกันแน่
ซึ่งมีหลักฐานที่ชัดเจนว่าผู้บริโภคทั่วไปไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของการดูภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์และสตรีมมิงได้จากบริษัทดั้งเดิมอย่าง Paramount และ Sony ที่มาพร้อมกับคู่แข่งบริษัทน้องใหม่อย่าง Apple และ Netflix จากแบบสำรวจของ Guts + Data พบว่า 38% เข้าใจว่าภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่อง The Grey Man ของหนุ่ม Ryan Gosling จะฉายผ่านโรงภาพยนตร์เท่านั้น และถึงแม้ว่าภาพยนตร์จากทาง Netflix จะไม่ได้มีการเปิดตัวที่ยิ่งใหญ่นัก แต่สุดท้ายภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้ตัดสินใจฉายแบบไฮบริด โดยจะจะฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 15 กรกฎาคม 2022 และพร้อมให้รับชมผ่านสตรีมมิงในวันที่ 22 กรกฎาคม 2022
และเพื่อยืนยันกับแคมเปญ “ฉายเฉพาะในโรงภาพยนตร์” ให้แข็งแรงและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น Marc Weinstock ประธานฝ่ายการตลาดและจัดจำหน่ายของ Paramount ได้กล่าวว่า
ทุกวันนี้ในแต่ละวันมีเนื้อหาคอนเทนต์มากมายทั่วโลก สิ่งเหล่านี้มันช่วยให้ผู้บริภาคได้ทราบและเข้าใจว่าภาพยนตร์นั้นเข้าฉายที่ใดบ้าง
คุณต้อง สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ ก่อน เพื่อที่จะสามารถแสดงความคิดเห็นได้