ปัจจุบันนี้ Chad Stahelski ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้กำกับสายแอ็กชันที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกจากผลงานการกำกับของเขาในแฟรนไชส์ John Wick ซึ่งมีออกมามากถึง 4 ภาค ทว่าเดิมทีแล้วตัวเขาเองไม่ได้คิดว่ามันจะไปรอด เนื่องจากล่าสุด Stahelski ได้ออกมาเผยว่าตอนที่เขากำกับภาคแรกเสร็จ เขาคิดว่าเส้นทางในฐานะผู้กำกับของเขาคงจบสิ้นแล้ว

เมื่อไม่นานมานี้ Chad Stahelski ได้ไปปรากฎตัวในรายการพอดแคสต์ Happy Sad Confused ของ Josh Horowitz เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการทำงานของเขาใน John Wick: Chapter 4 ไปจนถึงการทำงานกับ Keanu Reeves นักแสดงนำของเรื่อง ซึ่งในระหว่างการพูดคุยกัน ผู้กำกับได้เล่าย้อนไปถึงตอนที่เขากำกับ John Wick ภาคแรก โดยยอมรับว่าตอนนั้นเขาคิดว่าคงไม่มีใครจ้างเขาให้กำกับภาพยนตร์อีก อ่านคำพูดของเขาได้ด้านล่าง

ผมมั่นใจอย่างยิ่งว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้กำกับ ผมขอพูดตรงๆ เราจะยิงคนมากกว่า 80 คนเข้าที่หัวเพราะลูกสุนัข และเราจะไม่มีคนดีและคนเลวเหรอ? ผมก็แบบ ‘ใช่, ไม่, ผมจบแล้ว’ เรากำลังจะสร้างหนังแอ็กชันแนวอาร์ตเรื่องนี้ที่มีการถ่ายภาพยนตร์ดีๆ ในนิวยอร์ก แต่เราไม่มีงบประมาณพอที่จะอยู่ในนิวยอร์ก มันฟังดูดีมากจริงๆ ตอนที่เราวางแนวคิด และความเย่อหยิ่งของความไม่รู้ก็พาเราผ่านพ้นไปได้ เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้อะไร เราก็เลยคิดว่า ‘ทำไมจะไม่ได้ล่ะ’

แม้ว่าผู้กำกับจะคิดเช่นนั้น แต่ความเป็นจริงแล้วเมื่อ John Wick ภาคแรกเปิดตัวออกมาในปี 2014 ตัวภาพยนตร์ก็ประสบความสำเร็จเกินคาดด้วยการกวาดรายได้ทั่วโลกไป 86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าทุนสร้างที่ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึง 4 เท่า ด้วยเหตุนี้จึงได้ไปต่อในภาคที่ 2 ใน John Wick: Chapter 2 ที่ออกฉายในปี 2017 ด้วยทุนสร้างที่เพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกวาดรายได้ทั่วโลกเพิ่มขึ้นสูงถึง 174 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากนั้นทางสตูดิโอ Lionsgate จึงได้เข้ามาร่วมทุนสร้างต่อในภาคที่ 3 ได้แก่ John Wick: Chapter 3 - Parabellum ที่ออกฉายในปี 2019 พร้อมเพิ่มทุนสร้างเป็น 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และแน่นอนว่าประสบความสำเร็จเหมือนเคยด้วยการกวาดรายได้ทั่วโลกไป 328 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะปิดท้ายด้วย John Wick: Chapter 4 ภาคที่ 4 ที่ออกฉายไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมาด่้วยการทุ่มทุนเพิ่มขึ้นอีกเป็น 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จมากกว่าเดิมอีกด้วยการกวาดรายได้ทั่วโลกไปมากถึง 426 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เรียกได้ว่ามาไกลจริงๆ สำหรับแฟรนไชส์นี้ นอกจากนี้จะยังมีการสร้างซีรีส์และภาพยนตร์ภาคแยกตามออกมาอีกในอนาคต ได้แก่ ซีรีส์ The Continental และภาพยนตร์ Ballerina ที่นำแสดงโดย Ana de Armas