Louis Leterrier จากภาพยนตร์ Transporter สองภาคแรก ถูกกำหนดให้เข้ารับตำแหน่งผู้กำกับเรื่อง Fast 10 หรือที่รู้จักในชื่อ Fast X แทนที่ Justin Lin การตัดสินใจเกิดขึ้นไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ Lin เซอร์ไพรส์ในการออกจากตำแหน่งผู้กำกับไปในภาค 10 ของภาพยนตร์แฟรนไชส์ Fast and Furious

ตามแหล่งข่าว Leterrier เอาชนะผู้สมัครจำนวนมากได้ เป็นตัวเลือกแรกของ Universal picture และตารางงานต่าง ๆ ก็ยังตอกย้ำ เขามาที่แฟรนไชส์นี้ด้วยประสบการณ์มากมายในอาณาจักรแอ็กชัน เขาขยายอาชีพการกำกับในปี 2005 ด้วยการแสดงฉากแอ็กชันที่มีงบประมาณพอประมาณ 2 เรื่องสำหรับ Jet Li เรื่อง Unleashed (2005) และ Jason Statham เรื่อง Transporter ภาค 1 - 2

ภายหลังเขาเปลี่ยนมาอยู่ในงานสร้างที่สตูดิโอผลงานที่เคยสร้างมา The Incredible Hulk (2008), Clash of the Titans (2010) และ Now You See Me (2013) หลังจากทำรายได้ทะลุบ็อกซ์ออฟฟิศสะดุดกับรถยนต์ Sacha Baron Cohen รุ่นปี 2016 เรื่อง The Brothers Grimsby ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวฝรั่งเศสก็หันไปดูโทรทัศน์พร้อมซีรีส์ฮิตทาง Netflix สองเรื่อง ได้แก่ The Dark Crystal: Age of Resistance (2019) และ Lupin (2021) ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ภาพยนตร์เรื่องต่อไปของเขา ภาพยนตร์แอ็กชันภาษาฝรั่งเศส The Takedown จะเปิดตัวในสตรีมเมอร์ในวันที่ 6 พฤษภาคมนี้

Leterrier เข้ามาควบคุมการดำเนินงานของกองถ่าย Fast X ซึ่งเขาจะต้องศึกษาหน้างานอย่างว่องไวมาก เขาสืบทอดการผลิตด้วยองค์ประกอบเชิงสร้างสรรค์แทบทุกอย่างที่สร้างโดย Lin และก่อนหน้านั้น Lin ประกาศถอนตัวไปเมื่อวันที่ 26 เมษายน แม้แต่ในกรณีที่ Lin หายตัวไป กล้องก็ยังวิ่งต่อไปกับนักแสดงอย่าง Vin Diesel, Charlize Theron และนักแสดงหน้าใหม่ Jason Momoa อยู่ในฉากแล้ว Universal หยุดการผลิตในหน่วยหลักชั่วคราวในขณะที่หน่วยที่สองยังคงถ่ายทำในสหราชอาณาจักร

Dan Mazeau เขียนบทภาพยนตร์ร่วมกับ Lin ส่วนทีมผู้สร้าง ได้แก่ Diesel, Neal Moritz, Lin, Jeff Kirschenbaum และ Samantha Vincent

ก่อนหน้านี้ได้มีข่าวออกมาว่าค่าใช้จ่ายในการดูแลทีมโพรดักชันส์ในระหว่างหาผู้กำกับคนใหม่สูงถึง 600,000 ถึง 1 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 34.5 ล้านบาทต่อวัน นั่นเป็นตัวเลขที่ทาง Universal ต้องจ่าย นอกเหนือจากแรงกดดันทางการเงินแล้ว Theron, Momoa และ Brie Larson ยังเป็นผู้เล่นหลักในแฟรนไชส์อื่น ๆ ที่เป็นที่ยอมรับ ความล่าช้าที่นานขึ้นอาจสร้างความหายนะเพิ่มเติมให้กับปฏิทินการถ่ายทำที่ซับซ้อนอยู่แล้วเพิ่มขึ้นไปอีก

จากนั้นก็มีรอยย่นที่เกิดขึ้นจากเดิมคิดว่า Fast X จะเป็นบทสรุป 2 ภาคย่อยของ Fast & Furious จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้สร้างภาพยนตร์ที่อยู่เบื้องหลังได้ไตร่ตรองในการแบ่งเนื้อหาออกเป็นสองส่วนเพื่อเป็บบทสรุปของแฟรนไชน์นี้อีกครั้ง ต้องติดตามกันต่อไปว่าจะมีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาบทสุดท้ายที่เหลือนี้อย่างไร