รีวิว The Turning Point (2021) ภาพยนตร์หวานต้นขมปลายจากอิตาลี เรื่องราวของโจรและผู้เคราะห์ร้ายที่กลับกลายมาเป็นเพื่อนสนิท

The Turning Point ภาพยนตร์ดราม่าทุนต่ำจากอิตาลี กำกับการแสดงโดย Riccardo Antonaroli เขียนบทโดย Gabriele Scarfone และ Roberto Cimpanelli ภาพยนตร์เรื่องนี้จะพาผู้ชมไปพบกับความสัมพันธ์สุดแปลกประหลาดระหว่างโจรกระจอกที่กำลังหนีตายจากการไล่ล่าของมาเฟีย กับหนุ่มดวงซวยที่โดนลากเข้ามาพัวพันกับสถานการณ์อันเลวร้าย ทว่าหลังจากได้ทำความรู้จักกันได้ไม่นาน ทั้งคู่กลับกลายเป็นเพื่อนรักที่จริงใจต่อกัน ซึ่งหากจะเปรียบกับความเป็นจริงนี่ก็คงจะเหมือนกับอาการ “Stockholm Syndrome” หรือก็คืออาการของเหยื่อที่ถูกโจรจับเป็นตัวประกันและดันไปตกหลุมรักโจร

ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นที่เรื่องราวของ Jack (รับบทโดย Andrea Lattanzi) โจรกระจอกไร้อนาคตที่ดันไปขโมยเงินของมาเฟียผู้มีอิทธิพลมา ซึ่งในระหว่างที่เขากำลังขี่มอเตอร์ไซต์หลบหนีการไล่ล่า รถของเขาเกิดเสียการควบคุมและล้ม ทำให้เขาต้องวิ่งหนีต่อ หลังจากวิ่งหนีไปได้ไม่นานเขาได้ไปแอบอยู่หลังถึงขยะของอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ในขณะเดียวกัน Ludovico (รับบทโดย Brando Pacitto) ชายหนุ่มสุดเนิร์ดที่อาศัยอยู่ที่อพาร์ตเมนต์แห่งนี้ก็ได้เดินมาทิ้งขยะพอดี จังหวะนั้นเอง Jack ได้ใช้ปืนจี้เขาและเขาพาไปที่ห้อง ทั้งคู่ได้ตกลงกันโดย Jack เสนอว่าถ้าหากให้เขาหลบอยู่ที่นี่ เขาจะให้เงิน Ludovico จำนวน 5,000 ยูโร ทว่า Jack ไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้ทำเงินตกไว้ที่ถังขยะหน้าอพาร์ตเมนต์ ทำให้มาเฟียเจ้าของเงินรู้ว่า Jack แอบอยู่ในที่อพาร์ตเมนต์แห่งนี้และได้ส่งลูกน้องมาตามหาตัวเขา

backdrop-0

สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ตัวผู้เขียนเองไม่เคยรู้จักมาก่อน เห็นขึ้นแนะนำมาและดูเนื้อเรื่องน่าสนใจ จึงลองเปิดใจและกดเข้าไปดู ปรากฎว่ามันมีดีกว่าที่คาดไว้ บอกก่อนว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนังทุนต่ำที่หลักๆ เรื่องราวจะอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่เดียวเท่านั้น เรื่องราวส่วนใหญ่จะโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ระหว่าง Jack และ Ludovico ที่เริ่มต้นจากคนหนึ่งเป็นโจรและอีกคนเป็นตัวประกัน ทว่าหลังจากอยู่ด้วยกันไปได้ซักพักทั้งคู่กลับกลายมาเป็นเพื่อนรักกัน หากอ่านมาถึงจุดนี้คนทั่วไปก็คงมองว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นหนังฟีลกู๊ดแน่ๆ แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือหนังมีสถานการณ์หลักๆ ที่ผูกไว้ นั่นคือเรื่องเงินที่ Jack ขโมยมา มันเลยจะมีความอาชญากรรมผสมอยู่หน่อยๆ ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้หนังมีความน่าสนใจและมีเสน่ห์มากขึ้น

การปูเรื่องในช่วงแรกค่อนข้างอืดและเรื่อยเปื่อย เพราะเขาจะให้เราได้รู้จักตัวละครหลักทั้ง 2 ว่าแต่ละคนมีชีวิตและนิสัยใจคอเป็นอย่างไร Jack ที่เป็นโจรก็มีชีวิตที่โดดเดี่ยว เดิมทีแล้วเขาทำอาชีพเป็นคนทำความสะอาดห้องใต้ดิน แต่เขามีปมคือพี่ชายแท้ๆ ของเขาได้ทิ้งเขาไปเมื่อหลายปีก่อน เขาจึงอยากหาเงินซักก้อนเพื่อที่จะได้เดินทางไปอยู่กับพี่ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาขโมยเงินจากมาเฟียมา ส่วนในด้านของ Ludovico เขาเป็นหนุ่มเนิร์ดขี้กลัวที่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน เรียนมหาลัยมาหลายปีแต่ก็ไปไม่ค่อยรอด เขาถูกพ่อมองว่าเป็นพวกไม่เอาไหนและไม่เข้าใจในตัวตนของเขา สิ่งที่เขาถนัดมีเพียงอย่างเดียวคือการเขียนหนังสือการ์ตูน ซึ่งอย่างที่ทุกคนรู้กันดี เมื่อคนเหงามาเจอกันความสัมพันธ์จึงบังเกิด เพราะถึงแม้ว่า Jack จะเป็นโจรแต่เขาก็ยังเป็นคนดี เขาเห็น Ludovico แล้วรู้สึกหดหู่ จึงเริ่มสอน Ludovico ให้รู้จักอะไรมากขึ้น สอนให้กล้าที่จะทำอะไรที่ไม่เคยทำ ทั้งเรื่องการจีบสาว เรื่องความมั่นใจในตัวเอง และผลักดันให้ Ludovico ทำตามความฝัน

backdrop-1

ส่วนในด้านของ Jack เองเมื่อรู้จักกับ Ludovico เขาก็เริ่มที่จะเปิดใจให้กับคนอื่นๆ มากขึ้น เริ่มที่จะมีเหตุผลและไม่ใจร้อนเหมือนแต่ก่อน หรือง่ายๆ ก็คือ ทั้งคู่ต่างเติมเต็มให้กันและกันจนกลายเป็นคนที่ดีขึ้น คือพอหนังปูเรื่องราวมาได้กลางเรื่องนี่คือเริ่มสนุกและอยากดูต่อแล้ว ทำให้เราเริ่มรู้สึกดีกับความสัมพันธ์ของ 2 คนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และข้อดีที่เป็นหนังทุนต่ำ ทำให้ไม่มีงบหรือเวลาไปโฟกัสกับเรื่องอื่นๆ มากนัก หนังจึงมีเวลามากพอที่จะเล่าเรื่องราวของทั้งคู่จนทำให้เราอินกับความสัมพันธ์ของพวกเขา พร้อมกับตัดสลับไปทางฝั่งของมาเฟียที่ไล่ล่าบ้างเล็กน้อย เพื่อเป็นเหมือนการบอกคนดูว่าหายนะกำลังจะมาในไม่ช้า ส่วนตัวชอบการที่หนังปูเรื่องราวมาถึงท้ายเรื่องให้เรารู้สึกว่าทั้งคู่กำลังกลายเป็นคนใหม่แล้ว แถมเจอสาวที่ชอบ และกำลังจะมีความสุขกันแล้วในไม่ช้า แต่หนังกลับตัดจบด้วยความขมขื่นจนแอบเหวอ คือท้ายที่สุดทั้งคู่ก็ตายและไม่ได้ใช้ชีวิตที่ฝันไว้ ซึ่งแม้มันจะเศร้าและทำเอาคนดูอย่างเราอารมณ์เสีย แต่มันก็ยังสมเหตุสมผลและดูสมจริงในตัวของมันเอง เนื่องจากถ้าเป็นเรื่องจริงทุกอย่างมันก็คงจบแบบนี้นี่แหละ ส่วนคนที่น่าสงสารที่สุดก็คงจะเป็น Ludovico ที่อยู่ดีๆ ก็โดนลากเข้ามาเอี่ยวในเรื่องพวกนี้ แถมยังตายก่อนที่จะได้ทำตามความฝันตัวเองอีก

เอาหละหลังจากเวิ่นเว้อมานาน สรุปเลยก็คือเป็นหนังที่ฟีลกู๊ดเรื่องนึงที่จบแบบ Bad Ending คือเหมือนมีทางเลือกหลายทางว่าจะจบแบบไหน อาจจะจบแบบดีคือทั้งคู่รอดชีวิตและได้เป็นเพื่อนกันต่อ หรือรอดทั้งคู่แต่ไม่ได้เจอกันอีก หรือไม่ก็รอดคนเดียวและกลายเป็นความทรงจำ ทว่าผู้กำกับของเรื่องนี้ดันเลือกทางเลือกที่มันแย่และเลวร้ายที่สุด นั่นคือการเลือกให้ตายทั้งคู่ ซี่งโดยส่วนตัวมองว่าแม้มันจะจบแบบแย่ แต่มันก็เป็นตอนจบที่น่าจดจำและเพิ่มเสน่ห์ให้ตัวหนังมากขึ้นไปอีก หากจะให้รีวิวตามตรงก็คือบทเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรือแปลกใหม่เลย มีแค่เพียงตอนจบเท่านั้นที่ต่างออกไป และอีกอย่างที่น่าขบคิดก็คือ สรุปแล้วความรู้สึกของ Ludovico ที่มีต่อ Jack นี่มันเข้าข่ายโรค “Stockholm Syndrome” หรือไม่? เพราะหากไม่เกิดสถานการณ์นี้ขึ้น ทั้งคู่คงไม่มีทางรู้จักกัน ซึ่งตัวหนังก็ไม่ได้ให้คำตอบกับเราในเรื่องนี้ แต่ส่วนตัวผู้เขียนมองว่ามันดูเป็นมิตรภาพของจริงมากกว่า เพราะในด้านของ Jack ที่เป็นโจรเองก็รู้สึกรัก Ludovico เหมือนน้องชายจริงๆ เนื่องจากในตอนท้ายเขาจะหนีไปก่อนก็ได้ แต่เขาเลือกที่จะอยู่ต่อทั้งที่มันเสี่ยงเพียงเพราะอยากรักษาสัญญาที่ให้กับ Ludovico ไว้ว่าจะพาไปกินมื้อเย็นด้วยกัน

backdrop-2

ส่วนในด้านอื่นๆ นอกเหนือจากบทนั้นก็ถือว่าทำได้อยู่ในเกณฑ์ดีเช่นกัน การแสดงของนักแสดงหลักทั้ง 2 คนถือว่าทำได้ดีพอสมควร ทั้งคู่สามารถแบกหนังเอาไว้ได้สบายๆ แต่คนที่โดดเด่นที่สุดก็คงจะเป็น Andrea Lattanzi ที่รับบทเป็น Jack เพราะตัวละครของเขามันซับซ้อนมากกว่า เนื่องจากภายนอกดูเป็นโจรที่เข้มแข็งและไม่สนใจอะไร แต่ลึกๆ ภายในใจก็มีความเปราะบางและความอ่อนไหวซ่อนอยู่ ในเรื่องจึงมีทั้งฉากที่แสดงเป็นโจรสุดโฉด กับฉากดราม่าที่ดูอ่อนไหวมากๆ ให้เราได้เห็น ซึ่งตัวของ Andrea Lattanzi สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครออกมาได้เป็นอย่างดี ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่นๆ ที่เหลือก็แสดงได้ดีกันทุกคนเช่นกัน แคสต์นักแสดงฝั่งมาเฟียมาดีพอตัวเลย ทั้งหน้าตาและลักษณะภายนอกดูเป็นตัวร้ายจริงๆ

ต่อมาด้านเทคนิคการสร้าง อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าเรื่องนี้เป็นหนังทุนต่ำ จนแทบจะเป็นหนัง One Location แล้วด้วยซ้ำ เพราะเรื่องส่วนใหญ่ก็อยู่ในอพาร์ตเมนต์ ดังนั้นเทคนิคการสร้างของเรื่องนี้จึงอาจไม่ได้อลังการงานสร้างอะไรมาก แต่ว่างานภาพที่ออกมานั้นก็ทำได้ดีเอาเรื่อง มีฉากที่ถ่ายออกมาได้สวยหลายฉากเลย การจัดแสงและโทนสีภาพก็ทำออกมาได้ดี ไม่ได้คุมโทนเย็นจนเหมือนหนังอาชญากรรมที่เนื้อเรื่องเข้มข้น แต่ก็ไม่ได้สดใสหวานแหววแบบหนังฟีลกู๊ดอารมณ์ดี ซึ่งมันเหมาะกับหนังเรื่องนี้ที่อยู่ในระหว่างจุดกึ่งกลางของหนังฟีลกู๊ดและหนังอาชญากรรม ในด้านของเพลงประกอบนั้นยังธรรมดาทั่วไป เป็นเพลงบรรเลงทุกเพลง ไม่มีเนื้อร้อง มีทั้งเพลงช้าและเพลงเร็วตามแต่สถานการณ์ในเรื่อง แต่เพลงประกอบก็ยังพอช่วยสร้างบรรยากาศในเรื่องได้พอสมควร สุดท้ายนี้ใครที่อ่านมาจนถึงตรงนี้แล้วก็ขอขอบคุณที่ทนอ่านกันจนจบ และหากใครดูหนังเรื่องนี้แล้วชอบหรือไม่ชอบตรงไหน สามารถเข้ามาพูดคุยแลกเปลีี่ยนกันได้ในคอมเมนต์ด้านล่าง ส่วนใครที่ยังไม่ได้ดูแล้วอยากดูก็สามารถไปหาดูกันได้พร้อมพากย์ไทยทาง Netflix

avatar
รีวิวโดย ละเลงหนัง
ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ เพราะหนังให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด
0 2

7.3 / 10

รายละเอียดคะแนน

circle

คุณภาพด้านการแสดง

7.0 / 10

circle

คุณภาพของบทภาพยนตร์

7.5 / 10

circle

คุณภาพด้านเทคนิคการสร้าง

7.5 / 10

circle

คุณภาพด้านเสียง

7.5 / 10

circle

ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม

7.0 / 10

ข้อมูลภาพยนตร์

ดราม่า|

90

นาที

Roberto Cimpanelli

นักเขียน

Riccardo Antonaroli

ผู้กำกับ

Gabriele Scarfone

นักเขียน

ภาษาต้นฉบับ

อิตาลี

IMDB

6.3

TMDB

6.4

1 ความคิดเห็น
·
1 ตอบกลับ
Cmbyurfilm
ชอบดูหนังและเชื่อว่าถั่วงอกเป็นสิ่งชั่วร้าย

เป็นหนังที่มีตอนจบได้สุดมาก 55555555 ไม่หวือหวาแต่จบแบบห๊าาาาาาเลย

1 ตอบกลับ
ละเลงหนัง
ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ เพราะหนังให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด

จบแบบผมเหวอไปเลย อุส่ารอดูความฟีลกู๊ด555555


คุณต้อง สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ ก่อน เพื่อที่จะสามารถแสดงความคิดเห็นได้