รีวิว Jojo Rabbit (2019) ต่ายน้อยโจโจ้ ภาพยนตร์ตลกร้ายเสียดสีสงครามรสลูกกวาด
Heil Hitler! สวัสดีพลทหาร Jojo Betzler วันนี้นายจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์แล้วนะ
Jojo Rabbit หรือในชื่อไทยว่า ต่ายน้อยโจโจ้ เป็นภาพยนตร์ตลกร้ายเสียดสีสงครามที่เป็นม้ามืดได้อยู่ในรายชื่อผู้เข้าชิงสาขารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเวทีออสการ์เมื่อปี 2020 จากฝีมือการกำกับและเขียนบทของ Taika Waititi ที่ฝากผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของเขาไว้ในภาพยนตร์เรื่อง Thor: Love and Thunder (2022)
เป็นเรื่องราวที่มีฉากหลังอยู่ในช่วงยุคปลายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในประเทศเยอรมนี โดยมีการเล่าเรื่องราวผ่านเด็กชายวัย 10 ขวบ นามว่า Johannes Jojo Betzler ทุกๆ คนเรียกเขาว่า Jojo รับบทโดย Roman Griffin Davis เขามีเพื่อนในจินตนาการเป็น Adolf Hitler ที่รับบทโดย Taika Waititi ผู้กำกับของเรื่องนั่นเอง Jojo เป็นเด็กชายที่มีความรักชาติอย่างมาก ชอบทำท่าสวัสดิกะเป็นชีวิตจิตใจ และใฝ่ฝันถึงการเป็นทหารที่ยิ่งใหญ่อย่าง Adolf Hitler
ความรักชาติของเขาทำให้เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะเข้าร่วมแคมป์เยาวชนฮิตเลอร์ เพื่อทำตามความฝันในการเติบโตไปเป็นทหารที่ยิ่งใหญ่ แต่ความฝันนี้ก็ดับวูบภายในพริบตาเมื่อเขาประสบอุบัติเหตุระหว่างการฝึกที่แคมป์ ครูฝึกแจ้งว่าเขาจะไม่สามารถเป็นทหารได้อีก สิ่งนี้ทำให้เขาเจ็บปวดเป็นอย่างมาก และยังพยายามทำให้ตัวเองเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติที่เขารักด้วยการขอไปทำงานแจกใบปลิวเพื่อช่วยขยายอำนาจของ Hitler…
วันหนึ่ง Jojo กลับพบว่าแม่ของเขา รับบทโดย Scarlett Johansson ได้แอบซ่อนเด็กสาวชาวยิวไว้ในบ้านอย่างลับๆ ทำให้เขารู้ว่าแม่ของเขาคือกลุ่มต่อต้านนาซี! เขาก็ไม่สามารถแจ้งกับทางการได้ในเรื่องนี้ ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจเป็นที่สุด เพราะถ้าแจ้งทางการก็เท่ากับว่าแม่เขาจะกลายเป็นกบฎทำลายชาติอย่างสมบูรณ์ในทันที ระหว่างนั้นเขาก็ได้แอบไปทำความรู้จัก และพูดคุยกับเด็กสาวชาวยิวคนดังกล่าว เธอมีชื่อว่า Elsa รับบทโดย Thomasin Mckenzie ทำให้เขาได้เรียนรู้อีกข้อว่าชาวยิวไม่ใช่สัตว์ประหลาดอย่างที่ผู้ใหญ่บางคนเคยสอนและฝังหัวให้เขามาตลอดชีวิต…ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น เราขอแนะนำให้ผู้อ่านไปรับชมด้วยเองนะคะ :)
สิ่งที่ต้องขอชื่นชมให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ประการแรกเลยก็คือการที่ผู้กำกับและคนเขียนบทอย่าง Taika Waititi ได้หยิบเอาประเด็นที่หนักมากๆ ของประวัติศาสตร์อันโหดร้ายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีทั้งเรื่องการเหยียดเชื้อชาติ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการฆ่าผู้ที่มีความคิดเห็นทางการเมืองที่ต่างกัน มาเล่าในมุมมองของเด็กชายวัย 10 ขวบได้อย่างน่ารักน่าชัง ด้วยมุกตลกร้ายที่มาพร้อมกับความเพี้ยนที่น่าประทับใจ ซึ่งทำให้เราต้องยิ้มหรือหัวเราะตามไปด้วยแบบงงๆ ว่าเอ๊ะ ฉันควรหัวเราะใช่ไหมนะ แต่ก็หัวเราะออกไปแล้ว
ประการที่ 2 ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ Taika Waititi เขามีเชื้อสายยิวอย่างเต็มตัว และใช่ค่ะ เขารับบทเป็น Adolf Hitler เพื่อนในจินตนาการของ Jojo เรียกได้ว่าจี๊ดจ๊าดจัดจ้านกันตั้งแต่บทภาพยนตร์ และนักแสดงเลยก็ว่าได้นะคะ
ประการที่ 3 งานด้านโปรดักชัน และเครื่องแต่งกายที่ช่วยส่งเสริมให้ภาพยนตร์ดูสดใสไม่หม่นหมองเหมือนกับภาพยนตร์ในยุคสงครามเรื่องอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันนี้ เราจะได้เห็นทั้งสีสันของเสื้อผ้าที่ดูสนุกสนานของยุคแฟชันสุดคลาสิก รวมถึงบรรยากาศ และรายละเอียดที่สวยงามของบ้านเรือนในช่วงเวลานั้นที่ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ แม้แต่ในฉากสะเทือนใจและหดหู่บางฉากเราก็ยังได้เห็นความสดใสของเสื้อผ้า หรือบรรยากาศปรากฎอยู่บนหน้าจอด้วย เป็นเล่าผ่านมุมมองของเด็กชายวัย 10 ขวบอย่างแท้จริง
Jojo Rabbit เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือ Caging Skies ในปี 2008 ของผู้เขียน Christine Leunens ซึ่งกว่าที่จะมาเป็น Jojo Rabbit ได้นั้นใช้เวลากว่า 10 ปีในการเขียนบทเลยทีเดียว ซึ่งเหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก Taika Waititi งานยุ่งนั่นเองค่ะ 😅 😂
ความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีเพียงแค่การได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงที่เวทีออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเท่านั้น ด้านนักแสดงเองอย่าง Scarlett Johansson ที่รับบทเป็น Rosie Betzler คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวของ Jojo เธอก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในเวทีเดียวกันนี้อีกด้วย ยังมีรางวัลต่างๆ พ่วงท้ายตามมาอีกเป็นขบวนไม่ว่าจะเป็น บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม, คอสตูมดีไซน์ยอดเยี่ยม และการตัดต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รวมถึงรางวัล Bafta Film Awards 2020 ในสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์คุณภาพที่ไม่ควรมองข้ามอย่างแท้จริงเลยนะคะ
ผู้อ่านสามารถรับชม Jojo Rabbit ได้ที่สตรีมของ Disney+
คุณต้อง สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ ก่อน เพื่อที่จะสามารถแสดงความคิดเห็นได้