การตีความใหม่จากเรื่องราวที่ถูกสร้างขึ้นมาหลายต่อครั้งในภาพยนตร์ Guillermo del Toro’s Pinocchio ที่เป็นมากกว่าหุ่นกระบอกที่มีจมูกยาวเมื่อพูดโกหก

เมื่อได้ยินชื่อของ Guillermo del Toro แน่นอนว่าเราจะได้พบกับการบอกเล่าเรื่องราวในอีกมุมมองหนึ่งที่แตกต่างออกไป อย่างผลงานเรื่องก่อนหน้านี้ของเขา Pan’s Labyrinth (2006) ที่เป็นการสำรวจเรื่องราวความสูญเสีย สงคราม และลัทธิจักรวรรดินิยมผ่านสายตาของเด็ก และแม่แต่ Hellboy (2004) ก็ยังเปิดฉากด้วยการย้อนไปถึงตัวละครที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ในช่วงวัยเยาว์ ซึ่ง Del Toro เข้าใจดีว่าสิ่งที่ทำให้เราในวัยเด็กนั้น สามารถทำให้เรากลัวในตอนที่เราเติบโตขึ้นด้วย และเขาใช้วิธีการที่ง่ายๆ ในการดัดแปลงเวอร์ชันที่น่าทึ่งของ Pinocchio คุณอาจคิดว่าคุณรู้จักเรื่องราวนี้เป็นอย่างดี จากการทำซ้ำหลายต่อหลายครั้ง แต่วิสัยทัศน์ของ del Toro นั้นลึกซึ้ง และมืดมนกว่าทุกเวอร์ชันที่คุณเคยเห็นมาอย่างแน่นอน

ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดของ Gris Grimly ในเวอร์ชันปี 2002 ของนวนิยายอิตาลีเรื่อง The Adventures of Pinocchio ในปี 1883 เรื่องราวการผจญภัยนี้ของ del Toro มีพื้นฐานมาจากฉากดั้งเดิมของนวนิยายที่มีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องฟาสซิสต์ในอิตาลี

ในขณะที่การดัดแปลงของ Disney+ เรื่องล่าสุดของ Robert Zemeckis ได้แสดงให้เห็นถึงความโศกเศร้าของ Gepetto ที่มีต่อลูกชายของเขาในฐานะเรื่องราวประโลมโลกที่ดูจะจืดชืดและไม่มีอะไรตื่นเต้นหรือแตกต่างจากการ์ตูนต้นฉบับของพวกเขา ในทางตรงกันข้าม del Toro ได้สำรวจเรื่องราวของช่างไม้แกสลักผู้สูญเสีย ให้เสียงโดย David Bradley กับความพยายามของเขาที่จะชุบชีวิตเด็กชายที่เขาก็รู้ดีว่าไม่มีวันจะได้เห็นอีกแล้วได้อย่างไร Pinocchio ที่ให้เสียงโดย Gregory Mann ที่มีพรสวรรค์ เขาได้สร้างสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือกาลเวลาเพื่อทดแทนบางสิ่งที่ชายชราได้สูญเสียไปตลอดกาล

อะไรคือเหตุผลทางด้านจริยธรรมสำหรับการเล่าที่เกี่ยวกับพระเจ้า และการสร้างชีวิต และแน่นอนการเป็นอมตะของ Pinocchio ด้วยเช่นกัน นั่นเป็นคำสาป หรือของขวัญกันแน่? del Toro ได้สำรวจประเด็นเหล่านี้อย่างชำนาญ ในขณะที่เขายังต้องต่อสู้กับประเด็นเรื่องการเลี้ยงดู และธรรมชาติของ Pinocchio นั้นมีจุดประสงค์เพื่อทำหน้าที่เป็นลูกชายของ Gepetto ดังนั้นเขาจึงพยายามรักษาความบริสุทธิ์แบบเด็กๆ เอาไว้ตลอดชีวิตของเขา แม้ว่าเขาอาจจะได้รับบทเรียนเรื่องความเห็นอกเห็นใจจากพ่อบุญธรรมของเขา แต่นั่นก็ทำให้ Pinocchio ไม่ปกติในโลกมนุษย์ del Toro ได้ตั้งคำถามว่าเรื่องราวเหล่านี้น่ารักหรือไม่ และเราพูดได้อย่างเต็มปากว่า Pinocchio ของเขาเป็นมากกว่าแค่หุ่นกระบอก

Pinocchio ถูกสร้างขึ้นโดยที่ไม่รู้จักโลกแห่งความจริง

Pinocchio ได้รับการเลี้ยงดูอย่างโดดเดี่ยวโดย Gepetto และ Sebastian J. Cricket ให้เสียงโดย Ewan McGregor ในขณะที่ Geptetto ทำสิ่งนี้ด้วยความอ่อนโยน ใจดี เขาก็รู้ว่า Pinocchio จะถูกเยาะเย้ย และถูกดูถูกหากเขาออกไปในที่สาธารณะ นั่นจึงทำให้เกิดความเห็นแก่ตัวในการกระทำของเขาที่ค่อนข้างสร้างความรำคาญใจให้กับคนดู

Pinocchio ถูกเลี้ยงดูมาโดยขาดความรู้เรื่องความโหดร้ายของโลก และวันหนึ่งเขาจะไม่มี Geptetto คอยปกป้องอีกต่อไป แม้ว่า Geptetto จะตั้งใจให้ Pinocchio มาแทนที่ลูกชายของเขา แต่เขาก็พยายามเฝ้าดูลูกชายหุ่นกระบอกนี้เติบโตขึ้นและมีครอบครัวหากเขามีชีวิตจริงๆ อย่างไรก็ตามโอกาสเหล่านี้เป็นไปไม่ได้สำหรับ Pinocchio

ความเขลาในวัยเยาว์ของ Pinocchio นั้นถูกนำไปใช้อย่างง่ายดายเมื่อเขาเริ่มออกผจญภัยไปตามที่ต่างๆ ของอิตาลี ซึ่งนั่นถูกสังเกตโดย Count Volpe ให้เสียงโดย Christoph Waltz เจ้าของคณะละครสัตว์สุดเจ้าเล่ห์ ผู้ที่ต้องการให้ Pinocchio ไปเป็นดาวเด่นและสร้างรายได้ให้กับคณะของเขา แน่นอนว่า Pinocchio นั้นไร้เดียงสาเกินกว่าที่จะสงสัยในเจตนาร้ายของเขา และได้ลงนามในข้อตกลงที่เขียนขึ้นมาอย่างเอาเปรียบ

Gepetto อาจสูญเสีย แต่น่าเศร้าที่ Pinocchio ไม่รู้ว่าอะไรคือความแตกต่าง เขายังคงสนุกกับการทำงานให้กับ Volpe เนื่องจากเขารู้สึกดีที่ได้สร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้อื่น แต่เขากลับไม่รู้ตัวว่าได้ถูกลิดรอนอิสรภาพให้กับทางเลือกของตัวเอง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถโกหกได้โดยไม่ถูกจับได้ Del Toro ได้แสดงให้เห็นว่าจมูกของ Pinocchio งอกเพิ่มออกมาจากร่างกายที่ชวนให้นึกถึง Frankenstein หรือ The Fly

Pinocchio ไม่อายที่จะวิจารณ์ลัทธิฟาสซิสต์อิตาลี

อีกประเด็นหนึ่งที่ del Toro ใช้ในการศึกษาเรื่องความเป็นพ่อแม่ คือการพาเด็กๆ เข้าไปในโลกที่ชั่วร้ายนั้นมันถูกต้องหรือไม่ ฉากหลังของลัทธิฟาสซิสต์เกิดขึ้นรอบๆ วัยเด็กของ Pinocchio และแม้ว่าหมู่บ้านของเขาจะค่อนข้างสงบสุข แต่ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น ก่อนที่ Podestà ให้เสียงโดย Ron Perlman เจ้าหน้าที่ของรัฐจะเข้ามายุ่งกับเรื่องของเขา ในช่วงสงคราม นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ และศิลปินถูกบังคับใช้จากพรสวรรค์ของพวกเขาด้วยความรุนแรงเพื่อทำลายล้าง และสร้างความหวาดกลัว เช่นเดียวกับวัยเด็กทั่วไปของหลายคนในยุคนั้น Pinocchio ถูกบอกให้ลืมความเป็นมนุษย์ออกไปเพื่อรับใช้ชาติเป็นทหารอย่างภาคภูมิใจที่เหมือนกับโฆษณาชวนเชื่อ

เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ได้เห็นว่า Pinocchio มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กคนอื่นๆ เพียงครั้งเดียวในระหว่างการฝึกทหาร อย่างไรก็ตามเรายังได้เห็นประโยชน์จากความไร้เดียงสาอันเป็นนิรันดร์ของเขาผ่านความสัมพันธ์ของเขากับ n, Candlewick ให้เสียงโดย Finn Wolfhard ลูกชายของ Podesta ซึ่ง Candlewick นั้นไม่ได้คิดมุ่งร้ายกับเขา แต่เขาถูกสอนให้เกลียดชังผู้อื่น และกลัวว่าสิ่งที่น้อยกว่าความเหี้ยมนั้นจะถูกมองว่าอ่อนแอ เช่นเดียวกับความไร้เดียงสาของ Pinocchio ที่เชื่อมโยงกับความรักของพ่อของเขาอย่าง Gepetto และความชั่วร้ายของ Candlewick ก็เชื่อมโยงกับความหวาดกลัวของเขาเอง

อย่างไรก็ตาม del Toro ได้แสดงให้เห็นว่า แม้ว่า Pinocchio จะไม่สามารถเปลี่ยนธรรมชาติของเขาได้ แต่ตัวละครที่เป็นมนุษย์สามารถทำได้ Candlewick เรียนรู้ที่จะดูแล Pinocchio และแสดงความดีใจเมื่อพวกเขาได้นำชัยชนะมาสู่ทีมร่วมกันในการจำลองสถานการณ์สงครามที่สร้างขึ้นโดย Podesta ซึ่ง Candlewick แสดงความเห็นอกเห็นใจเป็นครั้งแรก และเขาก็น้อมรับมัน เขาได้เรียนรู้อย่างกล้าหาญว่าพ่อของเขานั้นคิดผิด และยืนหยัดต่อสู้กับ Pinocchio สิ่งสำคัญคือต้องดูว่า แม้แต่คนพาลก็สามารถกลับใจได้

Del Toro ได้พิจารณาถึงมนุษยธรรม และศีลธรรมในเรื่องราวของ Pinocchio

เรื่องนี้ถูกบรรยายโดยจิ้งหรีด ที่ชื่อ Sebastian และจบด้วยการตายของเพื่อนที่ซื่อสัตย์ที่สุดของ Pinocchio ซึ่ง Sebastian มีความกังวลเกี่ยวกับชีวิตของ Pinocchio หลังจากการตายของเขา และการตายของ Gepetto แต่เขาจบภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยบทพูดของเขาเองเกี่ยวกับความรู้สึกที่มีความหวังของเขา ซึ่งเป็นบันทึกที่น่าสนใจที่จะจบเรื่องในแบบนั้น เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเหตุการณ์ในเวอร์ชันของ Sebastian และเรื่องราวของ Pinocchio เพิ่งเริ่มต้นขึ้น เราไม่รู้ว่าเขาจะใช้ชีวิตอย่างไรหลังจากเพื่อนและครอบครัวของเขาเสียชีวิตลง

การปิดเรื่องที่ค่อนข้างคลุมเครือนี้ทำหน้าที่เป็นตัวบ่งชี้ว่าผู้ชมจะยืนอยู่ตรงไหนในธรรมชาติของมนุษย์ del Toro ไม่ได้แสดงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง บางที Pinocchio สามารถกระจายความรื่นเริง และความสุขในศตวรรษที่ 20 ได้ แต่บางทีเขาก็อาจจะมีชีวิตอยู่เพื่อพบกับสงคราม และการสังหารหมู่อื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน ด้วยวิธีที่ยอดเยี่ยม del Toro ได้สร้างเรื่องราวที่อาจโดนใจผู้ชมที่มีอายุต่างกันได้

Pinocchio เป็นทั้งเครื่องบรรณาการอันเปี่ยมด้วยความรักต่อแหล่งข้อมูลดั้งเดิม และงานวิจารณ์วรรณกรรมที่ยอดเยี่ยม การออกแบบงานสร้างสรรค์ และองค์ประกอบของ del Toro นั้นหาตัวจับได้ยากจากคนรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา การไตร่ตรองถึงศีลธรรมอยา่งรอบคอบของเขาทำให้ Pinocchio กลายเป็นภาพยนตร์สุดคลาสสิกได้ในทันที เรื่องราวที่มีความแดกดัน มันเป็นเรื่องราวของหุ่นกระบอกที่มีความเป็นมนุษย์มากกว่าสิ่งอื่นใด

ใครรับชม Guillermo del Toro’s Pinocchio แล้ว แวะมาคุยกับเราได้ที่คอมเมนต์ด้านล่างนี้นะคะ 💭