ภาพยนตร์ Avatar ภาคแรกของผู้กำกับ James Cameron ใช้งบประมาณการสร้างที่สูงและมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูง แต่ท้ายที่สุดภาพยนตร์ก็ประสบความสำเร็จและกอบโกยรายได้มหาศาลจนขึ้นเป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาล และดูเหมือนว่า Avatar: The Way of Water ที่กำลังจะมาถึงก็ต้องทำเงินให้ได้ระดับใกล้เคียงกับภาคแรกเช่นกัน เนื่องจากล่าสุดมีการเปิดเผยออกมาว่าภาคต่อเรื่องนี้ใช้งบประมาณการสร้างไปมากกว่า 350 ล้านดอลลาร์

จากความสำเร็จของ Avatar ภาคแรกที่กวาดรายได้จากทั่วโลปไปทั้งสิ้น 2.9 พันล้านดอลลาร์ ดังนั้น การสร้างภาคต่อของภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จขนาดนี้จึงเป็นอะไรที่ค่อนข้างท้าทาย ด้วยเหตุนี้ผู้กำกับ James Cameron จึงตัดสินใจที่จะทำให้ Avatar: The Way of Water ออกมาให้ยิ่งใหญ่และอลังการมากกว่าเดิมเพื่อจะได้ดึงดูดผู้ชม เนื่องจากภาคต่อนี้ห่างจากภาคแรกนานถึง 13 ปี จึงมีผู้ชมหลายคนที่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับแฟรนไชส์นี้อีกแล้ว แต่แม้ว่าจะลงทุนทำให้ยิ่งใหญ่มากกว่าเดิมแค่ไหน Avatar: The Way of Water ก็ยังคงอยู่ในจุดเสี่ยงที่จะขาดทุนอยู่ดี เพราะในปัจจุบันนี้การระบาดของโรค Covid-19 ก็ยังไม่จบลง แถมยังมีผู้ชมอีกจำนวนมากที่ตัดสินใจไม่เข้าโรงหนังและรอดูผ่านทางบริการสตรีมมิง ดังนั้น โปรเจกต์นี้จึงเป็นการเดิมพันที่เสี่ยงมากสำหรับสตูดิโอ Disney ซึ่งเสี่ยงจนถึงขนาดที่ผู้กำกับ James Cameron เคยออกมากล่าวว่าการลงทุนในครั้งนี้คือ “กรณีศึกษาทางธุรกิจที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์”

ตามรายงานล่าสุดของ The Hollywood Reporter (THR) ได้มีการระบุว่าการผลิตภาพยนตร์ Avatar: The Way of Water นั้นใช้งบประมาณไปสูงถึง 350-400 ล้านดอลลาร์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีจุดคุ้มทุนอยู่ที่ 800 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากทำเงินได้ไม่ถึงจำนวนนี้ก็จะขาดทุน โดยงบประมาณสร้างมหาศาลของ Avatar: The Way of Water ในครั้งนี้นั้นใกล้เคียงกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Avengers: Endgame (2019) [ทุนสร้าง 356 ล้านดอลลาร์], Avengers: Age of Ultron (2015) [ทุนสร้าง 365 ล้านดอลลาร์] อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่มีการยืนยันงบประมาณการสร้างที่แน่นอน แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ Avatar: The Way of Water อาจขึ้นเป็นภาพยนตร์ที่ใช้ทุนสร้างสูงสุดตลอดกาลอย่าง Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides (2011) ที่มีทุนสร้าง 379 ล้านดอลลาร์

โดยทั่วไปแล้ว ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จะต้องทำรายได้เป็น 2 เท่าของงบประมาณการสร้าง เพื่อชดเชยทั้งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างภาพยนตร์ รวมถึงเงินอีกหลายล้านดอลลาร์ที่ต้องใช้ไปกับการโปรโมตภาพยนตร์ นอกจากนี้ยังจะต้องมีส่วนแบ่งรายได้ให้กับโรงภาพยนตร์อีกด้วย ซึ่งในกรณีของ Avatar: The Way of Water ดูเหมือนว่าทางสตูดิโอ Disney จะคาดการณ์เอาไว้ว่าอย่างน้อยภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องทำเงินได้เกิน 1 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Avatar: The Way of Water จะทำเงินได้ไม่ถึง 1 พันล้านดอลลาร์ก็ไม่ได้แปลว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ล้มเหลว เนื่องจากแฟรนไชส์ Avatar ถือส่วนหนึ่งของธุรกิจสวนสนุก Disneyland ดังนั้น แม้ว่าตัวหนังจะไม่ประสบความสำเร็จตามเป้า แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะยังเป็นส่วนช่วยส่งเสริมการตลาดอย่างมากให้กับเครื่องเล่นใน Disneyland ที่เป็นธีมของ Avatar

แม้ว่า Avatar: The Way of Water จะเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงทั้งจากการตัดสินใจเข้าฉายในช่วงหลังการระบาดของโรค Covid-19 รวมถึงอยู่ในยุคที่บริการสตรีมมิงกำลังรุ่งเรือง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาขนาดนั้น เนื่องจากในยุคนี้ก็ยังมีภาพยนตร์หลายเรื่องที่ประสบความสำเร็จอย่างมากกับการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ เช่น Spider-Man: No Way Home ที่เข้าฉายเมื่อปลายปีก่อน ซึ่งยังเป็นช่วงที่ Covid-19 ระบาดมากกว่าทุกวันนี้ แต่ภาพยนตร์จาก Marvel Studios เรื่องนี้ก็ยังกวาดรายได้ทั่วโลกไปได้มากถึง 1.9 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ยังมี Top Gun: Maverick ภาคต่อที่ห่างจากภาคแรกเกิน 30 ปี แต่ก็ยังประสบความสำเร็จและกวาดเงินไปได้มากถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ ดังนั้น การที่ Avatar: The Way of Water ห่างจากภาคแรกถึง 13 ปี ก็ไม่แปลว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะล้มเหลว อย่างไรก็ตาม Avatar: The Way of Water ถูกคาดการณ์ว่าจะสามารถทำรายได้ในอเมริกาได้ประมาณ 150-175 ล้านดอลลาร์ ในช่วงสุดสัปดาห์แรกของการเปิดตัว คงต้องรอดูกันว่าท้ายที่สุดแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำได้ตามที่คาดการณ์ไว้ไหม แต่ก็ภาวนาให้ภาคนี้ประสบความสำเร็จ เราจะได้ดูภาค 3, 4 และ 5 กันต่อ

Avatar: The Way of Water มีกำหนดการเข้าฉายในบ้านเราวันที่ 14 ธันวาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์