รีวิว Last Seen Alive (2022) สามีตามหาภรรยาที่หายตัวไป แต่เลยเถิดไปไกลจนกลายเป็นหนังแอ็กชัน

Last Seen Alive ผลงานการกำกับล่าสุดของ Brian Goodman อดีตนักแสดงที่เพิ่งผันตัวมาเป็นผู้กำกับ เรื่องนี้นับเป็นผลงานการกำกับเรื่องที่ 3 ของเขา เรื่องแรกคือ What Doesn’t Kill You ที่ออกฉายในปี 2008 และเรื่องที่ 2 คือ Black Butterfly ออกฉายในปี 2017 โดยการกลับมาครั้งนี้ เขามาพร้อมกับนักแสดงชื่อดังอย่าง Gerard Butler มารับบทนำ ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และเพิ่งถูกเพิ่มเข้ามาใน Netflix เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ปัจจุบันนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ขึ้นเป็นภาพยนตร์ยอดนิยมอันดับ 1 บน Netflix แต่ความนิยมก็ไม่ได้รับประกันความดีงามเสมอไป

Last Seen Alive จะบอกเล่าเรื่องราวของชายธรรมดาที่ชื่อว่า Will Spann (รับบทโดย Gerard Butler) เขาและภรรยา Lisa Spann (รับบทโดย Jaimie Alexander) กำลังเดินทางไปยังบ้านเกิดของภรรยาเนื่องจากความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มจืดจาง ภรรยาเขาจึงอยากกลับไปอยู่กับพ่อแม่เพื่อทบทวนตัวเอง ซึ่งระหว่างทางทั้งคู่ได้จอดแวะปั๊มเพื่อเติมน้ำมัน ทว่า Lisa ได้หายตัวไปอย่างปริศนา หลังจากที่เธอไปเข้าห้องน้ำในร้านสะดวกซื้อ เมื่อ Will รู้เรื่องเขาก็เดินหาเธอจนทั่วแต่ก็ไม่พบร่องรอยของเธอเลย เขาจึงตัดสินใจตามหาเธอด้วยวิธีการสุดโต่งเกินตัว ในขณะที่ตัวเขาเองก็ตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่ถูกตำรวจหมายหัว

backdrop-0

สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้นิยามไม่ถูกเช่นกันว่าเป็นแนวไหน เพราะผสมหลายอย่าง ทั้งจิตวิทยา ระทึกขวัญ สืบสวนสอบสวน และแอ็กชัน ซึ่งหากอ่านพล็อตเรื่องมาแล้วหลายคนก็คงสนใจและอยากจะรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร เพราะหากใครเคยดูภาพยนตร์แนวนี้มาก่อนก็คงจะนึกถึงเรื่อง Gone Girl (2014) ที่เรื่องราวใกล้เคียงกันคือภรรยาของพระเอกหายตัวไปอย่างปริศนา ซึ่งในเรื่องนั้นมีการสับขาหลอกคนดูไปมาจนปวดหัวไปหมด แต่สำหรับ Last Seen Alive นั้นต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เพราะเรื่องนี้ออกแนว “ท่าดี ทีเหลว” คือเปิดเรื่องมาได้ยอดเยี่ยมและน่าสนใจมากๆ ช่วง 20 นาทีแรกคือเอาคนดูอยู่หมัด ทุกอย่างมาดีหมด ทั้งการเปิดเรื่องแบบไม่ให้คนดูรู้อะไรเลย แบบจู่ๆ ก็แวะปั้มแล้วนางเอกก็หายไปเลย ช่วงตอนนางเอกหายก็ทำได้ดีคือกล้องจะตามตัวละครพระเอกไปเลยตอนเดินหารอบปั๊ม ซึ่งมันสร้างบรรยากาศลุ้นระทึกและตื่นตระหนกได้ดี จากนั้นก็ปูเรื่องได้ในระดับที่ดีไปเรื่อยๆ จนถึงตอนที่พระเอกไปที่สถานีตำรวจ ฉากที่ตำรวจคุยกับพระเอกในห้องสืบสวนก็ทำดีมาก ผู้เขียนนี่ตั้งความหวังเลยว่าน่าจะสนุกแต่กลายเป็นว่าหลังจากฉากนั้นไปทุกอย่างเริ่มออกทะเล

หลังจากฉากห้องสืบสวนทุกอย่างที่ดูจริงจัง ดูตื่นเต้นและลุ้นระทึกก็เริ่มหายไป หายไปตั้งแต่พระเอกเดินทางไปบ้านผู้ต้องสงสัยคนเดียวโดยไม่บอกตำรวจ ซึ่งตอนดูก็งงว่าทำไมพระเอกถึงทำแบบนี้ เพราะมันยิ่งดูน่าสงสัยไปใหญ่ แทนที่ได้ข้อมูลมาแล้วไปบอกตำรวจ กลับตัดสินใจทำอะไรเองแบบไม่ยั้งคิด จุดนี้เป็นจุดแรกของความไม่สมเหตุสมผล จากนั้นมันหนักกว่าเดิมตรงที่พระเอกไปซ้อมผู้ต้องสงสัย ทั้งที่แค่สงสัยนะ ย้ำ “แค่สงสัย” แถมพื้นเพพระเอกก็เป็นแค่นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่ดันต่อสู้ได้ดิบเถื่อนยังกับตำรวจผู้ชำนาญการ จากนั้นเขาก็เอาผู้ต้องสงสัยคนนี้มัดมือมัดเท้าขึ้นรถไป แต่ดันเจอตำรวจโบกพระเอกก็เลยหนี ซึ่งมันประหลาดสุดๆ เพราะคุณบริสุทธิ์ก็ต้องบอกตำรวจซิ อธิบายดูก็ได้ ถ้าจะบอกว่ากลัวไปช่วยนางเอกไม่ทันก็ไม่น่าใช่ เพราะถ้าบอกตำรวจก็ได้เร็วกว่าวิ่งทะลุป่าแน่ๆ โดยหลังจากฉากนี้ไปหนังก็เปลี่ยนกลายเป็นแนวแอ็กชันไปโดยปริยาย

backdrop-1

นับว่าน่าเสียดายสุดๆ เพราะหากหนังเลือกไปเป็นแนวจิตวิทยาระทึกขวัญ แบบทิ้งปริศนาไว้ตามรายทาง และให้คนดูได้คิดตาม จากนั้นอาจจะเฉลยด้วยการหักมุมที่คาดไม่ถึงน่าจะดีกว่า เหมือนคนเขียนบทคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะให้มันลงเอยยังไงก็เลยยัดฉากแอ็กชันเข้าไปและตัดจบแบบง่ายๆ แถมไม่มีการหักมุมหรืออะไรทั้งนั้น ซึ่งถ้าจะลงเอยแบบนี้ก็ไม่น่าจะต้องปูเรื่องให้คนดูตั้งคำถามตั้งแต่แรก แถมเรื่องที่พระเอกเป็นนักพัฒนาอสังหาก็คงเพียงเพราะจะให้รู้ว่าพระเอกรวย โจรเลยมีแรงจูงใจมาลักพาตัวนางเอก แต่ดันจบแบบแอ็กชันมันเลยแปลก ถ้าหากจะมาทางแอ็กชันก็น่าจะปูเรื่องให้พระเอกเป็นอดีตสายลับหรือนักฆ่าแต่ปกปิดไว้ไม่มีใครรู้ จนภรรยาถูกลักพาตัวไป พระเอกจึงต้องไปสะสาง และใส่แอ็กชันแบบมันหยดเหมือน John Wick ไปเลยก็คงจะดีกว่า แต่ที่เป็นอยู่นี้คือเหมือนตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทางไหนดี ภาพรวมของหนังเลยออกมาครึ่งๆ กลางๆ ไร้เสน่ห์และไม่น่าจดจำ

แม้ว่าบทจะทำได้ไม่ดีนัก แต่ส่วนอื่นๆ ที่เหลือก็ยังพอไปวัดไปวาได้ การแสดงของ Gerard Butler ยังคงอยู่ในมาตรฐานเดิม ส่วนตัวมองว่าเหมือนบทเขียนมาเพื่อขายดารานำ เลยต้องใส่แอ็กชันเข้าไป แถมกับพวกฉากระเบิดอารมณ์ที่เป็นของถนัดของเฮียแกอยู่แล้ว เลยเป็นเหตุผลที่ตัวละครพระเอกทำอะไรแบบไร้เหตุผล เพราะถ้าหากตัวละครมีเหตุผลเฮียแกก็คงไม่ได้แสดงฉากระเบิดอารมณ์หรอก แต่ถึงอย่างนั้น การแสดงของ Gerard Butler ก็ดีพอที่จะแบกหนังทั้งเรื่องไว้ได้ แม้ว่าบทจะแย่ก็ตาม ส่วนนักแสดงคนอื่นๆ ก็แสดงได้ดีตามมาตรฐานทั่วไป งานภาพและการโปรดักชันต่างๆ ก็นับว่าทำได้อยู่ในระดับกลางๆ คือยังดูรู้ว่าเป็นหนังทุนต่ำ ไม่ได้ดีเลิศหรืออะไรมากมาย ออกไปทางหนังเกรดบีด้วยซ้ำ สรุปโดยรวมคือเป็นหนังที่หาจุดยืนไม่เจอและไม่รู้จะไปทางไหนดี แต่หากใครชอบดูการแสดงของป๋า Gerard Butler เป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็น่าจะพอเพลิดเพลินไปกับหนังได้ อย่างไรก็ตามทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ความชอบของแต่ละคน ดังนั้นทุกคนจึงควรไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง

avatar
รีวิวโดย ละเลงหนัง
ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ เพราะหนังให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด
0 3

5.4 / 10

รายละเอียดคะแนน

circle

คุณภาพด้านการแสดง

6.5 / 10

circle

คุณภาพของบทภาพยนตร์

4.5 / 10

circle

คุณภาพด้านเทคนิคการสร้าง

6.0 / 10

circle

คุณภาพด้านเสียง

6.0 / 10

circle

ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม

4.0 / 10

ข้อมูลภาพยนตร์

แอ็กชัน|ระทึกขวัญ|

He'll stop at nothing to get her back.

R

95

นาที

Marc Frydman

นักเขียน

Brian Goodman

ผู้กำกับ

ภาษาต้นฉบับ

อังกฤษ

รายได้

$5,950,199

IMDB

5.7

TMDB

6.5

Rotten Tomatoes

rotten tomatoes 13%
rotten tomatoes 36%

ตัวอย่างภาพยนตร์

trailer

นักแสดง

profile

Russell Hornsby

Detective Paterson

แสดงเพิ่มเติม

1 ความคิดเห็น
·
2 ตอบกลับ
MamewNP

เพิ่งดูไปเมื่อวานค่ะ แอ็กชันแบบ งงๆ จริงๆ 555 เรื่องก็ไม่ได้มีอะไรแค่ห่วงเมีย 😂 🤣

2 ตอบกลับ
ละเลงหนัง
ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ เพราะหนังให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด

20 นาทีแรกกำลังลุ้นสนุกๆ เลยครับ ซักพักเริ่มไปไกล555555

MamewNP

ห่วงอย่างไรให้มีพิรุธ 😂


คุณต้อง สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ ก่อน เพื่อที่จะสามารถแสดงความคิดเห็นได้