รีวิว All Quiet on the Western Front (2022) เมื่อทุ่งหญ้าแห่งเกียรติยศกลายเป็นนรกบนดิน และสนามเพลาะแห่งชัยชนะกลายเป็นสุสานกลิ่นโคลน

สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ผ่านมานานกว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว แต่เราก็มักจะพูดถึงและรู้จักสงครามโลกครั้งที่ 2 กันมากกว่า เนื่องจากมันถูกกล่าวถึงว่าเป็นสงครามที่มีความชอบธรรม ว่าเป็นการต่อต้านสิ่งชั่วร้ายของโลกตะวันตก ซึ่งสิ่งนี้ก็ถูกนิยามด้วยมุมมองแบบป๊อปคัลเจอร์ และมันก็ทำให้มหาสงครามครั้งแรกไม่ค่อยมีน้ำหนักที่สำคัญเท่า อีกทั้งสงครามครั้งแรกค่อนข้างจะคลุมเครือและยังสามารถตีความได้หลากหลายรูปแบบอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ มันอาจทำให้เรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่ 1 ในภาพยนตร์ของ Sam Mendes เรื่อง 1917 (2019) จึงประสบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งนอกจากจะมีเทคนิคพิเศษที่ยอดเยี่ยมแล้วหากแต่ว่ามันก็ยังให้ความสำคัญในเรื่องของคอนเทนต์ทางประวัติศาสตร์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม 1917 ยังคงมีศูนย์กลางอยู่ที่ฝ่ายสัมพันธมิตร (แบบหนังสงครามของฮอลลีวูด) ซึ่งตัวละครหลักเป็นทหารอังกฤษที่ให้ภาพลักษณ์ของความเป็นวีรบุรุษในภารกิจอันตรายอย่างกล้าหาญ แต่แล้วเมื่อภาพยนตร์ของผู้กำกับชาวเยอรมันอย่าง Edward Berger เรื่อง All Quiet on the Western Front หรือชื่อไทย แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง ได้มาถึง Netflix กลับนำเสนอภาพของสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่แตกต่างออกไป เขาได้เผยภาพของฝ่ายเยอรมัน ภาพความโหดร้ายของสงคราม ภาพของทหารเกณฑ์หนุ่มที่หวาดกลัว และเรื่องราวที่พิสูจน์ให้เห็นว่ามันมีผลกระทบได้อย่างลึกซึ้ง สิ่งนี้มันจึงเป็นการฉายภาพความเป็นจริงที่อยู่เหนือกาลเวลาได้อย่างน่าประหลาดใจ

backdrop-0

ภาพยนตร์เรื่อง All Quiet On The Western Front เป็นภาพยนตร์ดัดแปลงจากนวนิยายในตำนานของ Erich Maria Remarque ที่บรรยายภาพสงครามสุดไร้ประโยชน์ เปลืองงบประมาณ และเสียเวลาของเยอรมันนีในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งทำให้ทหารของตนต้องอยู่แต่ในสนามเพลาะเป็นเวลานาน แลกด้วยชีวิตทหารอีก 3 ล้านนาย เพียงเพื่อยึดพื้นที่ฝ่ายศัตรูได้เพียงไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น นอกจากนี้เด็กหนุ่มรุ่นเยาว์หลายๆ คน ต้องมารับชะตากรรมเพียงแค่เกียรติยศที่พวกผู้มีอำนาจโยนใส่ เพื่อหลอกล่อให้พวกเขาได้กลายเป็นนักรบ สำหรับเรื่องราวที่อยู่ภายใต้โลกที่เต็มไปด้วยโรคระบาดในขณะนั้น และยังต้องเจอกับมหาสงครามแห่งยุโรปสมัยใหม่ครั้งแรกด้วย ดังนั้น เรื่องราวมันจึงไม่ใช่การฉายภาพของวีรบุรษ แต่มันคือภาพของความเป็นมนุษย์ที่อยู่บนหน้าจอ

backdrop-1

Paul Bäumer (รับบทโดย Felix Kammerer) เด็กหนุ่มวัยเรียนชาวเยอรมันผู้คลั่งไคล้ในเรื่องราวของกองทัพและสงคราม เขายินดีรับใช้ชาติและยอมปลอมลายเซ็นผู้ปกครองเพื่ออาสาไปร่วมรบกับเพื่อนๆ ของเขาในแนวหน้า เราจะเห็นได้ว่า Paul เริ่มต้นด้วยดวงตาที่สดใส ร่าเริง และกระตือรือร้น เขาใฝ่ฝันที่จะเป็นวีรบุรุษสงคราม พร้อมกลับบ้านมาด้วยคำที่ใครๆ ก็เรียกเขาว่าทหารผ่านศึก แต่สิ่งที่เขายังไม่รู้ คือสิ่งที่รอเขาอยู่ข้างหน้า แม้แต่ชุดทหารที่เขาสวมใส่อยู่เขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมาจากศพรุ่นสู่รุ่น เพียงไม่นาน Paul ก็เริ่มตาสว่างอย่างรวดเร็ว เมื่อทุ่งหญ้าแห่งเกียรติยศมันกลายเป็นบ่อโคลน และสนามเพลาะแห่งชัยชนะมันก็กลายเป็นหลุมศพขนาดใหญ่!

backdrop-2

จากสายตาที่สดใสกลับมืดมัว เมื่อเวลาผ่านไป Paul ได้กลายเป็นทหารที่ไร้ชีวิตชีวา เขาต้องปฏิบัติหน้าที่โดยมีความหวังจากสิ่งที่เขาไม่รู้ เพราะในขณะที่ Matthias Erzberger (รับบทโดย Daniel Brühl) นักการทูตชาวเยอรมันต้องแข่งขันกับเวลาเพื่อลงนามในสัญญาสงบศึกให้สำเร็จ โดยที่นายพลเยอรมันต้องการจะสู้ต่อ การสงบศึกจึงเป็นความหวังเดียวที่จะได้ตั๋วกลับบ้านของ Paul และเหล่าหนุ่มๆ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่เขาคิดว่าไม่มีหวัง Paul ก็ต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมที่ไม่หยุดหย่อน สิ่งต่างๆ เริ่มหล่อหลอมเด็กวัยรุ่นที่ร่าเริงสดใสให้กลายเป็นชายหนุ่มที่ป่าเถื่อน ผู้เขียนรีวิวจึงขอยกเครดิตให้แก่ Felix Kammerer นักแสดงผู้รับบท Paul เพราะเข้าสื่ออารมณ์ได้อย่างน่าทึ่งทั้งสุขและเศร้า มันเหมือนเราได้ดูชีวิตคนๆ หนึ่งที่ได้เปลี่ยนไปตั้งแต่เริ่มต้นจนจบเรื่อง ราวกับคนละคนกัน

backdrop-3

ภาพความโหดร้ายของสงครามใน All Quiet on the Western Front มันจึงไม่ใช่คนสองฝ่ายที่ต่อสู้กันอยู่ แต่มันคือการต่อสู้กับจิตใจของตัวเองในฐานะมนุษย์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังให้อารมณ์ของหนังในแนวต่างๆ อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ฉากที่แนวหน้าของเยอรมันต้องพบกับรถถังของฝรั่งเศสที่โผล่ออกมาจากหมอกควันมันให้ความรู้สึกราวกับสัตว์ประหลาดอันใหญ่ยักษ์ที่ไม่เคยเจอ (ผู้เขียนรีวิวเคยอ่านประวัติศาสตร์รถถังมันก็ให้อารมณ์ประมาณนี้จริงๆ ซึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 1 ถือเป็นการเปิดตัวรถถังในสงครามเป็นครั้งแรกโดยฝ่ายอังกฤษ) หรือฉากนอกสนามรบที่แสดงถึงความรักของมิตรภาพ ซึ่งมันก็ดูแล้วอดยิ้มไม่ได้จริงๆ สุดท้ายนี้ All Quiet on the Western Front ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่คุ้มค่าแก่การรอคอยและคุ้มค่าแก่การนั่งดูเป็นเวลา 2 ชั่วโมง 27 นาที และผู้เขียนรีวิวเชื่อว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มันไม่ได้ให้แค่ความบันเทิงเท่านั้น แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกที่ซื่อสัตย์ต่อความเป็นมนุษย์อีกด้วย

avatar
รีวิวโดย AVAVARAN
0 0

9.4 / 10

รายละเอียดคะแนน

circle

คุณภาพด้านการแสดง

9.5 / 10

circle

คุณภาพของบทภาพยนตร์

9.5 / 10

circle

คุณภาพด้านเทคนิคการสร้าง

9.5 / 10

circle

คุณภาพด้านเสียง

9.0 / 10

circle

ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม

9.5 / 10

ข้อมูลภาพยนตร์

ดราม่า|สงคราม|แอ็กชัน|
R

147

นาที

Erich Maria Remarque

นวนิยาย

Edward Berger

ผู้กำกับ

Lesley Paterson

บทภาพยนตร์

แสดงเพิ่มเติม

ภาษาต้นฉบับ

เยอรมัน

ทุนการสร้าง

$20,000,000

รายได้

-

IMDB

7.8

TMDB

7.7

ตัวอย่างภาพยนตร์

trailer
trailer
0 ความคิดเห็น

คุณต้อง สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ ก่อน เพื่อที่จะสามารถแสดงความคิดเห็นได้