พาย้อนกลับไปยังภาพยนตร์สามเรื่องแรกของ Robert Eggers ที่ได้พาผู้ชมไปสำรวจมุมอันมืดมิดที่สุดในชีวิตของมนุษย์ ผ่านความคิดอันหมกหมุ่นที่สะท้อนออกมาในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งจากผลงานภาพยนตร์ของเขาก็ทำให้ผู้ชมต่างไม่สงสัยอะไรในความคิดสร้างสรรค์อันโดดเด่นของเขาที่กำลังพัฒนาขึ้นได้เรื่อยๆ ซึ่งเขาได้ออกมาบอกความแตกต่างของการสร้างสรรค์ผลงานในแต่ละยุคและทำไมเขาถึงอยากกลับไปสร้างสรรค์งานในยุคก่อน

Robert Eggers ได้พยายามจะพูดถึงกับทาง Slash Film ในงานโปรโมตการเปิดตัว VOD ของ The Northman เกี่ยวกับวงการบันเทิงในยุคใหม่นี้ถึงบทบาทและหน้าที่ต่างๆ เขายังกล่าวอีกว่าเพราะด้วย Ego ของเขาด้วยนี่แหละที่มันมักจะขวางทางในการประสบความสำเร็จและทำให้งานสร้างสรรค์ของเขาไม่ไปถึงไหน

มันอาจจะฟังดูเพ้อเจ้อไปบ้าง แต่จริงๆ แล้วผมคิดว่ามันยากมากที่จะทำงานสร้างสรรค์อะไรออกมาในยุคนี้ เพราะตอนนี้เราอยู่ในยุคที่วัฒนธรรมของสื่อบันเทิงต่างๆ ค่อนข้างน่าเบื่อและงุ่มง่ามไปหน่อย เนื่องจากส่วนมากมันจะถูกเล่าผ่าน Ego ผ่านเรื่องราวของตัวผู้สร้างซะส่วนใหญ่ ซึ่งนี่เป็นอะไรที่ผมค่อนข้างกลัว เพราะอย่างคนในยุคก่อนเวลาที่เขาทำงานเขาก็ทำเพื่อพระจ้า ทำเพื่ออะไรอย่างอื่น และต้องพยายามควบคุมเรื่องราวของตัวเองไม่ให้เล็ดรอดออกไปด้วยเพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องฉันหรือเรื่องของตัวผู้ทำ และผมค่อนข้างชอบบรรยากาศแบบนั้นมากกว่า

ซึ่งอย่างใน The Witch (2015) ภาพยนตร์เรื่องแรกผู้กำกับ Robert Eggers ก็ได้พยายามหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เขาไม่ชอบได้ทั้งหมด เขาหลีกหนีกระแสอันน่าเบื่อของวัฒนธรรมของสื่อบันเทิงไปอย่างสิ้นเชิงจนทำให้ผลงานชิ้นนี้ของเขาได้รับการพูดถึงและกระแสตอบรับที่ดีมาก ด้วยความที่ภาพยนตร์มันพาผู้ชมเข้าไปสำรวจเนื้อหาอันมืดมิดแบบดำดิ่งได้จริงๆ ผ่านบรรยากาศของยุค 1630 ก่อนจะตามด้วยสุดยอดภาพยนตร์ระทึกขวัญอีกหนึ่งเรื่อง The Lighthouse (2019) ที่หยิบยกเรื่องราวของชายหนุ่มสองคนในประภาคาร ที่นิวอิงแลนด์ในปี 1980 และก่อนจะต่อด้วยผลงานล่าสุดใน The Northman ที่เขาได้พาผู้ชมไปสำรวจความเป็นไวกิ้งแบบต้นฉบับที่ไอซ์แลนด์

เขายังได้กล่าวเสริมอีกว่า

แน่นอนว่าผมคงจะต้องหยิบยกเรื่องราวนิทานพื้นบ้านจากนิวอิงแลนด์มาเล่าอีกแน่นอน เพราะจะได้มาเติมเต็มภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของผมให้สมบูรณ์แบบ

ในขณะนี้ The Northman มีฉายแล้วทาง Peacock