การเลื่อนฉาย Super Mario Bros. อาจช่วยให้ไม่ซ้ำรอยดีไซน์ตัวละครชวนเหวอแบบ Sonic the Hedgehog
ข่าวประกาศจาก Illumination และ Nintendo เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาเรื่องการเลื่อนกำหนดฉายภาพยนตร์ Super Mario Bros. ฉบับสร้างใหม่ออกไปอีก 4 เดือน จากเดือนธันวาคม 2022 เป็นเมษายน 2023 กลายเป็นเรื่องดีมากกว่าที่คิด เพราะอาจช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการดีไซน์ตัวละครสุดหายนะดังเช่นกรณีของ Sonic the Hedgehog (2020) เมื่อครั้งปล่อยตัวอย่างแรกออกมาแล้วโดนถล่มอย่างหนักเกี่ยวกับตัวละครโซนิกที่ออกแบบมาได้อัปลักษณ์สุด ๆ นำไปสู่การตัดสินใจเลื่อนกำหนดฉายและปรับปรุงดีไซน์ตัวละครจนออกมาเป็นเวอร์ชันสมบูรณ์ในที่สุด การเลื่อนกำหนดฉายหนังมาริโอ้ออกไป 4 เดือนในครั้งนี้ก็อาจช่วยให้ทีมผู้สร้างรอดพ้นจากการโดนสับเละในลักษณะเดียวกัน
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 Nintendo ออกมาประกาศว่าจะดำเนินการสร้างภาพยนตร์ Super Mario Bros. ขึ้นใหม่ โดยคราวนี้จะทำเป็นหนังแอนิเมชันคอมพิวเตอร์ ต่อมามีการเปิดเผยว่า Chris Pratt จะเป็นผู้พากย์เสียงมาริโอ้ และมี Charlie Day พากย์เสียงลุยจิ นอกจากนั้น Nintendo ยังสามารถทาบทามนักแสดงชื่อดังหลายคนให้มาร่วมทีมพากย์ เช่น Anya Taylor-Joy, Jack Black และ Seth Rogen ที่จะมาให้เสียงเป็นเจ้าหญิงพีช ราชาคุปปะ (หรือชื่อในเวอร์ชันฝรั่งว่า บาวเซอร์) และดองกี้คองตามลำดับ ที่ผ่านมาภาพยนตร์ที่สร้างจากวิดีโอเกมมักทำออกมาได้ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไร แต่ Detective Pikachu (2019) และ Sonic the Hedgehog ทั้ง 2 ภาคก็แสดงให้สาธารณชนได้เห็นแล้วว่า การนำเกมเปี่ยมคุณภาพมาดัดแปลงเป็นหนังสนุก ๆ นั้นใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย
จริงอยู่ที่รูปลักษณ์ในตอนแรกของโซนิกฉบับหนังแอนิเมชันดูพิลึกพิลั่นเกินทน แต่หากมีใครกังวลว่าหนังมาริโอ้เรื่องใหม่นี้จะซ้ำรอยความผิดพลาดดังกล่าวหรือไม่ก็หายห่วงได้เลย เพราะการเลื่อนกำหนดฉายออกไปน่าจะทำให้ทีมผู้สร้างตระหนักได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ และในที่สุดเมื่อมีการเปิดเผยตัวอย่างภาพยนตร์สู่สาธารณะ ตัวละครมาริโอ้ก็ควรออกมาดูดีจริง ๆ การได้เวลาเพิ่มเพื่อจะได้คิดและทำงานให้ออกมาเป็นเวอร์ชันในอุดมคติที่สุดอาจช่วยให้ทีม Mario เรียนรู้จากข้อผิดพลาดของ Sonic the Hedgehog ได้
เหตุผลอีกข้อที่การเลื่อนเวลาฉายออกไปอาจเป็นผลดีคือ ความคิดเห็นของผู้ชมแตกออกเป็น 2 ขั้วใหญ่ ๆ ตั้งแต่มีข่าวการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ใหม่ ๆ แล้ว นอกเหนือจาก Despicable Me (2010) และบรรดาหนังภาคต่อและภาคแยกในแฟรนไชส์แล้ว ผลงานหนังแอนิเมชันเรื่องอื่น ๆ ของสตูดิโอ Illumination ก็มิได้มีผลตอบรับดีสักเท่าไร ตัวอย่างเช่น The Lorax (2012) หรือ Hop (2011) เป็นต้น อีกประเด็นที่ต้องนำมาพิจารณาคือตัวเอกอย่างมาริโอ้ ซึ่งเป็นตัวละครเรียบง่ายที่แทบไม่มีบทพูด ไม่มีความเป็นมา ไม่มีพัฒนาการ เป็นตัวละครพื้น ๆ ที่มีข้อจำกัด ถือว่าเป็นตัวละครที่สมบูรณ์แบบสำหรับวิดีโอเกม แต่จะนำมาถ่ายทอดสู่ฉบับจอหนังได้ดีแค่ไหนก็ต้องรอดูกันต่อไป มีคำถามยาก ๆ หลายข้อที่ Nintendo ต้องตอบให้ได้ ทว่าการเลื่อนกำหนดฉายภาพยนตร์ออกไปอย่างน้อยก็ช่วยให้ทีมผู้สร้างมีโอกาสเพิ่มขึ้นนิดหน่อยที่จะสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้ดีที่สุด รวมถึงหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดแบบเดียวกับที่หนัง Mario ฉบับเก่าเมื่อปี 1993 เคยทำ
แฟน ๆ มาริโอ้อาจผิดหวังที่ภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้ถูกเลื่อนเวลาฉายออกไป 4 เดือน แต่การที่ทางค่ายทำเช่นนี้อาจเป็นเรื่องดีที่สุดแล้วก็ได้ เพราะจากการที่หลาย ๆ คนหวั่นวิตกว่า Nintendo และ Illumination จะสร้างหนังที่ดีออกมาได้หรือไม่ การได้ต่อเวลาในครั้งนี้อาจเป็นโอกาสให้พวกเขาได้ทำสิ่งต่าง ๆ ให้ออกมาสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งรวมถึงการออกแบบตัวละครมาริโอ้ไม่ให้มีสภาพคล้ายคลึงกับดีไซน์แรกสุดของโซนิกฉบับภาพยนตร์ ผู้ชมอย่างเรา ๆ ก็ได้แต่หวังว่า ทีมผู้สร้างจะให้ความเป็นธรรมกับลุงหนวดเก็บเห็ด และสร้างหนัง Super Mario Bros. ให้ฐานแฟนเกมดูแล้วแฮปปี้ในท้ายที่สุด
คุณต้อง สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ ก่อน เพื่อที่จะสามารถแสดงความคิดเห็นได้