ทีมผู้สร้าง Joker (2019) ได้ประกาศทำภาคต่อ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ความคิดที่ดีสำหรับ Warner Bros. เลย

ย้อนกลับไปในปี 2019 เราได้เห็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนของ DC Comics ที่กำกับโดย Todd Phillips เรื่อง Joker (2019) ที่พาเราดำดิ่งสู่เบื้องลึกในจิตใจของวายร้ายที่ถูกขนานนามว่าตัวตลกแห่งความโกลาหล เป็นการตีความต้นกำเนิดตัวละคร Joker หรือ Arthur Fleck (รับบทโดย Joaquin Pheonix) แบบใหม่ ผู้ชายธรรมดาที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดงตลกในสภาพแวดล้อมของเมือง Gotham ที่เต็มไปด้วยอำนาจมืด เขาต้องฝ่าฟันไปกับสภาพเศรษฐกิจที่เลวร้ายไปพร้อมกับสุขภาพจิตของตัวเองที่ไม่มั่นคง เขารับภารกิจจาก Penny Fleck (รับบทโดย Frances Conroy) แม่ที่ป่วยใกล้ตาย ในการขอความช่วยเหลือจากคนที่เธออ้างว่าเป็นพ่อของเขาอย่าง Thomas Wayne (รับบทโดย Brett Cullen) ต่อมาเขาก็รู้ว่าแม่ของตนมีอาการป่วยทางจิตและเรื่องทั้งหมดเป็นแค่การหลอกลวง

Fleck ได้รับความสนใจจาก Murray Franklin (รับบทโดย Robert De Niro) ให้ไปร่วมโชว์ในรายการทอล์กโชว์ที่เขาเป็นพิธีกร แต่ไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ในการแสดงตลกของ Fleck เพียงแต่ต้องการนำ Fleck ที่แสดงตลกได้แย่ มาล้อเลียนในรายการ หลังจากนั้นไม่นาน Fleck ก็สังหาร Franklin ในรายการ ก่อนที่จะก่อเหตุจลาจลครั้งใหญ่ใน Gotham

ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากคอมิกส์ ที่มีการโต้เถียงกันมากที่สุด เกี่ยวกับความรุนแรงของเนื้อหา Joker (2019) ได้รับคะแนนจากนักวิจารณ์ใน Rotten Tomatoes ไปเพียง 68% ถึงอย่างนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นหนังเรท R เรื่องแรกที่ทำรายได้ทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในบ็อกซ์ออฟฟิศ และด้วยรายได้มหาศาล ทำให้ Warner Bros. มีแนวคิดที่จะสร้างภาคต่อของตัวละคร Joker แต่อาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ และนี่ก็คือเหตุผลทั้งหมดที่ Warner Bros. ไม่ควรสร้างภาคต่อของภาพยนตร์เรื่องนี้

เดิมทีภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่มีแผนสำหรับภาคต่อตั้งแต่แรก

Joker (2019) ไม่ควรมีภาคต่อโดนสิ้นเชิง เพราะหากเป็นเช่นนั้นความสมเหตุสมผลในเนื้อหาของภาคแรกจะหายไปทันที ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นโดยไม่ได้เชื่อมโยงกับจักรวาล DC Extended Universe (DCEU) และอาจเป็นเพียงภาพยนตร์เสียดสีสังคมเรื่องหนึ่งที่ได้ต้นแบบมาจากตัวละครของ DC Comics เท่านั้น ในฉากจบของเรื่องเราจะเห็นว่า Fleck โดนเจ้าหน้าที่ของรัฐจับตัวกลับไปที่โรงพยาบาลจิตเวช Arkam Asylum เป็นตอนจบแบบปลายเปิดเพื่อให้ผู้ชมคาดการณ์ต่อจากนั้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และความคลุมเครือของฉากจบคือเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ ผู้ชมตราตรึงกับสภาพแวดล้อมในเมืองและได้ดำดิ่งสู่เบื้องลึกในจิตใจของผู้ป่วยจิตเวช ซึ่งบางทีภาคต่อก็แทบไม่จำเป็นเลย เพราะหนังได้เล่าเรื่องที่ต้องการเล่าไปหมดแล้ว

มนต์ขลังของภาคแรกจะหายไป

ภาพยนตร์จากคอมิกส์ส่วนใหญ่แล้วจะมุ่งเน้นไปที่การทำภาคต่อเพื่อกอบโกยรายได้จากผู้ชม แต่ Joker (2019) แตกต่างออกไป นี่คือมิติใหม่ของวงการภาพยนตร์ฮีโร่ ที่ไม่ต้องการความยิ่งใหญ่อลังการ มีเพียงแต่ความบ้าคลั่งจากผู้ชายคนหนึ่ง ในเมืองที่สร้างให้เขากลายเป็นอาชญากร ซึ่งเราไม่เคยเห็นความสมจริงแบบนี้ใน DCEU และ Marvel Cinematic Universe (MCU) มาก่อน หาก Joker (2019) มีภาคต่อ ความแปลกใหม่นี้ก็คงไม่แปลกใหม่อีกต่อไป ภาพยนตร์ที่พิเศษเรื่องนี้ควรมีเพียงหนึ่งเดียว แต่หากจะมีภาคต่อจริง ๆ คงมีเพียง Todd Phillips เท่านั้นที่รู้ว่าควรทำภาคต่อออกมาอย่างไร โดยไม่เป็นการด้อยค่า ภาคแรก

บางทีเราอาจมี Joker มากเกินไป

ในระยะหลัง แผนการสร้างภาพยนตร์ของ Warner Bros. และ DC Comics เริ่มปรับเปลี่ยน ทางผู้ผลิตมีการสร้างจักรวาลแยกย่อยขึ้นมา และแน่นอนว่า ตอนนี้เรามี Joker ถึง 3 คนในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน เรามี Joker ฉบับหนังเดี่ยว เรามี Joker ใน The Batman (2022) ที่เป็นจักรวาลแยก (รับบทโดย Barry Keoghan) และ Joker ใน DCEU (รับบทโดย Jared Leto) ซึ่งถือว่ามากเกินไปสำหรับตัวละครที่มีมนต์ขลัง เช่นเดียวกับ Batman ที่มีทั้งในจักรวาลหลักและจักรวาลแยก คงไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ผู้ชมอยากเห็นการปะทะของทั้งสองที่ซ้ำซาก

Joker 2 อาจล้มเหลวในบ็อกซ์ออฟฟิศ

บ่อยครั้งในวงการภาพยนตร์ การทำภาคต่อมักจะล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากความคาดหวังจากผู้ชมที่สูง เกี่ยวกับภาคต่อที่ต้องทำให้ดีกว่าภาคต้นฉบับ หรืออย่างน้อย ๆ ก็ควรทำให้มาตรฐานเทียบเท่ากัน ซึ่งเป็นเรื่องยากในการก้าวข้ามภาพจำของภาคแรกไป แน่นอนว่าผู้คนส่วนใหญ่ต้องการเห็นภาคต่อของภาพยนตร์ชั้นนำ แต่การวางแผนที่ไม่ดีพออาจทำให้ภาคต่อล้มเหลวกลายเป็นภาพจำมากกว่าภาคต้นฉบับ