โดยรวมมันก็ไม่ใช่ภาคที่ดีที่สุดและไม่ใช่ภาคที่จบได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยการที่เนื้อหากระท่อนกระแท่นเกินไปหน่อยจนจับต้นชนปลายไม่ได้จนเกิดความไม่เมคเซนท์ในระหว่างทาง การที่ฉากแอ็กชั่นที่ค่อนข้างมีน้อยและยังไม่สาแก่ใจนัก ไหนจะการใช้ CG ไปซะเยอะจนบางฉากนึกว่าเรื่อง “การผจญภัยของตินติน” แต่ก็เข้าใจได้เพราะด้วยวัย 80 ปีของปู่ฟอร์ดมันก็ยากที่จะทำให้แกวาดลีลาบู๊จนสามารถมีฉากแอ๊กชั่นไล่ล่าสนุกๆเหมือนสี่ภาคแรกได้ ซึ่งถึงแม้หนังจะแสดงให้เห็นถึงปัญหาของความช้าและความร่วงโรยของอินดี้ที่นอกจากจะเป็นตำนานที่คนค่อยๆลืมเลือนและไม่ได้ให้ความสำคัญมากมายแล้ว หนังก็เผยมรสุมปัญหาชีวิตครอบครัวที่นับว่าหนักอึ้งเอาการ แต่สุดท้ายหนังก็เลือกที่จะไม่ขยี้หรือไม่ได้เน้นย้ำให้ความสำคัญมาก ซึ่งพอลากไปถึงตอนจบหนังเลยไม่ได้สร้างตอนจบบริบูรณ์ที่สวยสดงดงามในฐานะ “หนังเลี้ยงส่งอำลาอาลัย” ตัวละคร “อินเดียน่า โจนส์” ได้ดีสักเท่าไหร่ ซึ่งถ้าลองเปลี่ยนมาเป็นตัวผู้กำกับคนดีคนเดิมอย่าง “สตีเวน สปีลเบิร์ก” ที่ผ่านการตกผลึกในการสร้างสรรค์ตัวละครตัวนี้มามากกว่า 40 ปีที่น่าจะเข้าใจจนสามารถดีไซน์สร้างสรรค์เรื่องราวตอนจบบริบูรณ์ของอินดี้ได้ดีกว่านี้

แต่ถึงอย่างนั้นก็หนังยังดูได้แบบเพลินๆชนิดที่ไม่เสียหายอะไรกับการสละเวลาไปดูเพราะอย่างน้อยๆโทนเรื่องก็ดูจริงจังขึ้นเพราะฝ่ายผู้ร้ายก็เหี้ยมกว่าภาคอื่นๆ การถอดรหัสการแกะปริศนาหรือปมเรื่องที่เกี่ยวกับ “อาร์คิมีดีส” ก็น่าสนใจโดยเฉพาะ “กลไกแอนติคิเธียรา” ที่เป็นทั้ง “วัตถุโบราณ” และ “ขุมทรัพย์” ที่ทั้งพวกอินดี้และเหล่าวายร้ายต่างค้นหาก็ดูมีลูกเล่นที่น่าสนใจและเห็นภาพได้ชัดเจนว่าถ้าเอาไปใช้แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ซึ่งก็ทำให้องค์สามมันไปได้โคตรสุดจนพลิกให้เราสามารถพูดได้แบบเต็มปากว่า “สนุกดีนะ” ได้สักที แล้วก็กลายเป็นสิ่งที่ดีลำดับรองลงมาจากฉากสุดท้าย “ตรงไหนบ้างที่ไม่เจ็บ” ฉากนั้นนั่นแหละบอกตรงๆถึงจะไม่ได้เป็นตอนจบที่สมบูรณ์แบบ แต่มันก็ทำให้ผมนั่งยิ้มไม่หุบหยุดฟินไม่ได้จริงๆ
0 0
แสดงล่าสุด 15 รายการ หากต้องการ ดูเพิ่มคลิกที่นี่
poster
Indiana Jones and the Dial of Destiny

อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา

Jun 25, 2023

แสดงรายละเอียดเพิ่มเติม