FourWD
FourWD

นิยมชมชอบหนังแอ๊กชั่น (Action Movie is the best) Letterboxd : Four_sup4WD pantip : สมาชิก 4524861

ชื่นชอบล่าสุด
รีวิวล่าสุด
Indiana Jones and the Dial of Destiny
โดยรวมมันก็ไม่ใช่ภาคที่ดีที่สุดและไม่ใช่ภาคที่จบได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยการที่เนื้อหากระท่อนกระแท่นเกินไปหน่อยจนจับต้นชนปลายไม่ได้จนเกิดความไม่เมคเซนท์ในระหว่างทาง การที่ฉากแอ็กชั่นที่ค่อนข้างมีน้อยและยังไม่สาแก่ใจนัก ไหนจะการใช้ CG ไปซะเยอะจนบางฉากนึกว่าเรื่อง “การผจญภัยของตินติน” แต่ก็เข้าใจได้เพราะด้วยวัย 80 ปีของปู่ฟอร์ดมันก็ยากที่จะทำให้แกวาดลีลาบู๊จนสามารถมีฉากแอ๊กชั่นไล่ล่าสนุกๆเหมือนสี่ภาคแรกได้ ซึ่งถึงแม้หนังจะแสดงให้เห็นถึงปัญหาของความช้าและความร่วงโรยของอินดี้ที่นอกจากจะเป็นตำนานที่คนค่อยๆลืมเลือนและไม่ได้ให้ความสำคัญมากมายแล้ว หนังก็เผยมรสุมปัญหาชีวิตครอบครัวที่นับว่าหนักอึ้งเอาการ แต่สุดท้ายหนังก็เลือกที่จะไม่ขยี้หรือไม่ได้เน้นย้ำให้ความสำคัญมาก ซึ่งพอลากไปถึงตอนจบหนังเลยไม่ได้สร้างตอนจบบริบูรณ์ที่สวยสดงดงามในฐานะ “หนังเลี้ยงส่งอำลาอาลัย” ตัวละคร “อินเดียน่า โจนส์” ได้ดีสักเท่าไหร่ ซึ่งถ้าลองเปลี่ยนมาเป็นตัวผู้กำกับคนดีคนเดิมอย่าง “สตีเวน สปีลเบิร์ก” ที่ผ่านการตกผลึกในการสร้างสรรค์ตัวละครตัวนี้มามากกว่า 40 ปีที่น่าจะเข้าใจจนสามารถดีไซน์สร้างสรรค์เรื่องราวตอนจบบริบูรณ์ของอินดี้ได้ดีกว่านี้

แต่ถึงอย่างนั้นก็หนังยังดูได้แบบเพลินๆชนิดที่ไม่เสียหายอะไรกับการสละเวลาไปดูเพราะอย่างน้อยๆโทนเรื่องก็ดูจริงจังขึ้นเพราะฝ่ายผู้ร้ายก็เหี้ยมกว่าภาคอื่นๆ การถอดรหัสการแกะปริศนาหรือปมเรื่องที่เกี่ยวกับ “อาร์คิมีดีส” ก็น่าสนใจโดยเฉพาะ “กลไกแอนติคิเธียรา” ที่เป็นทั้ง “วัตถุโบราณ” และ “ขุมทรัพย์” ที่ทั้งพวกอินดี้และเหล่าวายร้ายต่างค้นหาก็ดูมีลูกเล่นที่น่าสนใจและเห็นภาพได้ชัดเจนว่าถ้าเอาไปใช้แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ซึ่งก็ทำให้องค์สามมันไปได้โคตรสุดจนพลิกให้เราสามารถพูดได้แบบเต็มปากว่า “สนุกดีนะ” ได้สักที แล้วก็กลายเป็นสิ่งที่ดีลำดับรองลงมาจากฉากสุดท้าย “ตรงไหนบ้างที่ไม่เจ็บ” ฉากนั้นนั่นแหละบอกตรงๆถึงจะไม่ได้เป็นตอนจบที่สมบูรณ์แบบ แต่มันก็ทำให้ผมนั่งยิ้มไม่หุบหยุดฟินไม่ได้จริงๆ
0 0
Extraction 2
โดยรวมน่าจะเป็นหนังแอ็กชั่นที่ดีในระดับต้นๆของ netflix ด้วยจังหวะจะโคนต่างๆของฉากแอ็กชั่นที่ดีไซน์ได้อย่างน่าสนใจโดยเฉพาะซีน Long take ที่ไต่ระดับตั้งแต่บู๊ระยะประชิดเดินเท้าไปขึ้นรถยนต์จนเกิดซีนไล่ล่าทางพาหนะ ที่ยังมีลูกเล่นพากล้องไปโฟกัสกลุ่มตัวละครสมทบที่อยู่รถอีกคันด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ Long take พวกนี้ปกติจะเน้นไปที่ตัวเอกเป็นหลักหรือตัวละครอื่นๆที่อยู่แวดล้อมใกล้ชิดกับตัวเอก ซึ่งเมื่อกล้องพาเราไปโฟกัสตัวละครอื่น ก็ช่วยเพิ่มระดับดีกรีความระทึกได้อย่างดี จนกระทั่งไปบรรจบที่ซีนบนรถไฟที่ก็ยังคงมีฉากเดือดๆที่ระห่ำกว่าเดิมทั้งการปะทะในตู้โบกี้รถไฟ การปะทะกับเฮอร์ริคอปเตอร์ ด้วยความยาวกว่า บวกกับมุมกล้องแบบ Long take ที่ช่วยเสริมให้ฉากนี้มีดีกรีความมันส์ ระทึกขวัญ สมจริงสมจัง ระดับที่คนดูนั่งไม่ติดเก้าอี้ได้เลย
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ดันมาดรอปตอนท้าย กับการที่หนังเลือกให้ตัวละครดวลตัวต่อตัวซึ่งพอทำออกมาแล้วไม่ได้ดุเดือดมาก มันเลยออกมาเฉยๆ เพราะถ้าเลือกที่จะทำออกมาแล้วดวลกันมันส์แบบพวกจอห์น วิคไปเลย ดีกรีความเดือดของตอนจบคงจะอิมแพคและดีกว่านี้
0 0
Fast X
หนังมอบความบันเทิงได้อย่างเต็มเปี่ยม ลดความโม้ไฮเทคเทคโนโลยีลงและเพิ่มความโม้แบบจับต้องได้เมื่อครั้งภาค 5-7 ได้ค่อนข้างดี แต่อาจมีอะไรที่สะเปสะปะ แอบยืดบางฉากให้ยาวไปหน่อยโดยที่ไม่จำเป็น ซึ่งก็คงเป็นเพราะพยายามกั๊กเนื้อเรื่องบางส่วนเพื่อปูไปภาคหน้า และตัวร้ายคือส่วนที่ดีที่สุด เป็นขั้วตรงข้ามกับดอมโดยเฉพาะ เพราะเมื่อดอมมีจุดแข็งอย่างครอบครัว คนอย่างดันเต้จึงใช้จุดแข็งตรงนี้แปรเปลี่ยนให้กลายเป็นจุดอ่อนเล่นงานดอมโดยเฉพาะ ไตรภาคของ Fast X จึงเป็นมหากาพย์สงครามที่ว่าด้วย การห้ำหั่น ล้างแค้น ต่อกร ของคนที่ "มีครอบครัว" อย่างดอมและ "ไม่มีครอบครัว" อย่างดันเต้ ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็มีจุดได้เปรียบเสียเปรียบเป็นของตัวเอง
0 0
Ride On
ถึงเรื่องนี้จะไม่ได้เน้นแอ็กชั่นจริงจังแบบเรื่องอื่นๆแต่ก็มีดีจนจนกล้าพูดได้ว่าเป็นผลงานที่มีคุณภาพมากที่สุดของ "เฉินหลง" ในรอบหลายปี ด้วยความที่หนังผสมผสานในหลายๆรสชาติทั้ง แอ็กชั่น คอมมาดี้ ดราม่า ครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสัตว์ การต่อสู้ทางกฎหมาย การคารวะและเชิดชูอุตสาหกรรมวงการสตั๊นท์แมน ทำให้หนังมีความหลากหลายขึ้นและมีหลายแง่มุมที่น่าสนใจให้เราเฝ้าติดตามไปจนจบเรื่อง ซึ่งในด้านของดราม่าระหว่างความสัมพันธ์ของครอบครัวหรือแม้แต่ตัวม้าแสนรักอย่างเจ้า "กระต่ายแดง" ก็ถือเป็นพาร์ทที่ทำออกมาได้ดีที่สุดจากบรรดาพาร์ทอื่นๆ ด้วยความบทค่อนข้างทำให้ตัวเฉินหลงมีความเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาที่สูงมาก จึงทำให้เราค่อนข้างเอาใจช่วยตัวละครตัวนี้มากทั้งในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับลูกที่ไม่ได้เจอกันนานนับสิบปี การกลับทำงานสตั๊นท์แมนในวันที่เลยจุดพีคของตัวเองมาแล้ว และการต่อสู้ในตัวกรรมสิทธิ์ทางกฎหมายของเจ้ากระต่ายแดง ซึ่งประเด็นต่างๆของพาร์ทดราม่าที่ว่ามาทั้งหมดนี้ก็ทำหน้าที่ได้ดีมาก โดยเฉพาะพาร์ทดราม่าเจ้า "กระต่ายแดง" ก็ขยี้ใจได้ดีเหลือเกิน ยิ่งมาบวกกับการแสดงของเฉินหลงในแบบที่เป็นมนุษย์มากๆ (ที่เราแทบจะไม่เคยเห็นมาก่อน) ก็ทำให้พาร์ทนี้ในช่วงท้ายเป็นช่วงที่เรียกน้ำจากผู้ชมได้ไม่ยากเลย
อีกหนึ่งความดีงามที่ต้องพูดถึงอย่างมากเลยก็คือการให้เสียงพากย์ภาษาไทยของ "พันธมิตร" ที่ทำหน้าที่ออกมาได้เป็นอย่างดีหรืออาจพูดได้ว่าเป็นการพากย์ที่ยอดเยี่ยมสุดในรอบหลายปี ทั้งช่วงของการปล่อยมุกยิงมุกก็ทำได้อย่างลื่นไหลมีมาตรฐานที่แม้จะไม่ได้ทำให้ถึงกับขำก๊ากแต่ก็ยังทำให้ขำนิดๆอมยิ้มหน่อยๆ แล้วยิ่งพาร์ทดราม่าที่บทและนักแสดงส่งเสริมอารมณ์ได้ดีอยู่แล้ว การพากย์ไทยก็ยิ่งขับเคลื่อนขยี้อารมณ์ในส่วนของพาร์ทนี้ออกมาได้ดีมากๆในชนิดที่เราอาจเสียน้ำตามากกว่าหัวเราะจากการพากย์ไทยของทีมพันธมิตรเลยก็ว่าได้
แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยความที่หนังมีหลายสิ่งหลายประเด็นที่ต้องโฟกัสมากเกินไป จึงทำให้หนังค่อนข้างขาดๆเกินๆจนบางส่วนล้นๆออกไปหน่อย ซึ่งในบางประเด็นที่เหมือนหนังสามารถเคลียร์จบให้ลงตัวแบบสวยๆได้แล้วแต่หนังก็ยังไปยืดไปสร้างประเด็นให้เกิดเป็นปมเรื้อรังที่ยังแก้ไม่หายสักทีจนยืดเยื้อ หรือในบางประเด็นก็ยังขยี้ได้ไม่ทั้งส่วนของการคารวะและเชิดชูอุตสาหกรรมวงการสตั๊นท์แมน (ที่บางส่วนเชื่อมโยงกับบทบาทการทำงานของเฉินหลงในยุคก่อนด้วย) ซึ่งส่วนตัวผมยังมองว่าหนังยังไม่ได้ขยี้ให้สุดไปแต่กลับเล่าออกมาได้เรียบง่ายไปหน่อย ถึงหนังจะแตะประเด็นที่สนใจอย่าง "สวัสดิการและสิทธิที่ควรดีกว่านี้สำหรับสตั๊นท์แมน หรือประเด็นการมามีบทบาทของ CG" ที่แม้จะมีความน่าสนใจแต่ก็รู้สึกว่ายังเล่าออกมาได้ไม่ครอบคลุมเท่าไหร่ ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงเพราะมีหลายประเด็นที่หนังต้องโฟกัสจนเกินไปนั่นแหละ
ในภาพรวมทั้งหมดในแง่ของหนังสักเรื่อง หนังเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังดีมีคุณภาพที่เราเอนจอยไปได้ทั้งแต่ต้นจนจบ แต่หากมองในฐานะหนังเฉินหลงสักเรื่อง หนังเรื่องนี้ก็คือหนังยอดเยี่ยมและดีที่สุดในหลายปีของเฉินหลง ในฐานะที่เป็น "หนังที่มีหัวใจ" ซึ่งได้สะท้อนภาพความเป็นมนุษย์คนธรรมดาสีเทาๆที่เจ็บเป็นสำเร็จได้ของเฉินหลง รวมถึงยังได้ถ่ายทอดเรื่อง คารวะชื่นชม และเชิดชูอุตสาหกรรมวงการสตั๊นท์แมนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของหนังแอ็คชั่นหลายๆเรื่องรวมทั้งยังเป็นรากฐานสำคัญที่ส่งเสริมให้เฉินหลงสามารถประสบความสำเร็จได้มาจนถึงทุกวันนี้
1 0
Spider-Man: Across the Spider-Verse
เป็นภาคต่อที่มีความทะเยอทะยานสุดขีดโดยเฉพาะในด้านภาพของแอนิเมชั่นที่เหมือนการผสมผสานงานศิลปะหลายๆรูปแบบหลายๆแขนงมารวมไว้ในที่เดียวกัน ทั้งการนำมาสร้างสรรค์แต่งเติมให้กลายเป็นตัวละครสไปเดอร์แมนหรือตัวละครอื่นๆที่อยู่ในอีกจักรวาล ซึ่งยังรวมไปถึงการใช้ตกแต่งสร้างสรรค์เป็น background ไม่ว่าจะทั้งที่ใช้เป็นภาพนิ่งหริอใช้ในขณะที่เป็นภาพเคลื่อนไหวในแต่ละฉาก ซึ่งล้วนแล้วนับว่าสวยงามมากๆ ยิ่งบวกกับการเล่นแสงสีที่มีครบทั้งโทนร้อนที่ให้อารมณ์จัดจ้าน เร้าใจ เร้าอารมณ์ โทนเย็นที่ให้อารมณ์สงบนิ่ง เข้มขรึม มีเสน่ห์ ชวนหลงใหล ซึ่งในแต่ละโทนสีก็ไปช่วยขับเคลื่อนบริบทอามรณ์นึกคิดของตัวละคร บริบทสถานการณ์ ได้เป็นอย่างดี
ในส่วนส่วนของบทภาคนี้ก็นับว่าเติบโตพอสมควร จากภาคที่แล้วเป็นการรู้จักที่เรียนรู้ในการเป็น "สไปเดอร์แมน" ของ "ไมล์ โมราเลส" ภาคนี้ก็ไม่พ้นการพาไปสำรวจการเติบโตและการทำหน้าที่ของ "ไมล์ โมราเลส" ว่าตอนนี้เขาทำได้ดีขนาดไหนแล้ว ขณะเดียวกันก็พาเราไปเจอกับปัญหาชีวิตจากการที่จะต้องสร้างความสมดุลชีวิตในการเป็นนักเรียนม.ปลายกับการเป็นสไปเดอร์แมน ซึ่งแน่นอนว่ามันยากเอาการ และไหนจะปัญหาของการใช้ชีวิตที่จะก้าวข้ามจากวัยรุ่นสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่เขามีอิสระในการคิดหรือการทำสิ่งต่างๆที่มีอุปสรรคจากครอบครัวที่ยังคงเป็นห่วงและมองว่าเขายังเป็นเด็กอยู่ ซึ่งนำมาสู่การวางแผนชีวิตให้ไมล์โดยที่ไม่ได้ตรงกับไมล์ที่ต้องการ ซึ่งประเด็นนี้ก็ถูกนำไปใช้กับการเป็นสไปเดอร์แมนอีกด้วย เพราะเขาเองจะต้องเลือกว่าจะเป็นสไปเดอร์แมน "ในแบบที่ตนเองต้องการ" หรือจะเป็นสไปเดอร์แมน "ตามรูปแบบของตำรา" ที่สไปเดอร์แมนคนอื่นถือเป็นกฎ ซึ่งก็เป็นประเด็นที่นับว่าน่าสนใจไม่น้อยเพราะไม่ใช่แค่กระทบกับทั้งชีวิตของไมล์และการเป็นสไปเดอร์แมนและตัวละครอื่นๆในเรื่อง แต่จะยังไปกระทบกับชีวิตของคนดูอย่างเราๆด้วยว่าสุดท้ายจะเลือกการใช้ชีวิตแบบไหนถึงจะออกมาดีและมีผลเสียที่ตามออกมาน้อยที่สุด ซึ่งถือเป็นประเด็นที่ตกผลึกออกมาและชวนให้คิดไม่น้อยเลย
ด้านของ Spider-Verse ที่ภาคนี้จัดหนักจัดเต็ม (ซึ่งแม้จะรู้ว่าแค่เกริ่นๆไว้) ก็เรียกความว้าว ความตื่นตาตื่นใจได้ไม่น้อยครับ เพราะขนเหล่าสไปเดอร์แมนที่นับรวมๆแล้วต้องเกินร้อยแน่ๆ (ดีไม่ดีไปถึงหลักพัน) ซึ่งแน่นอนว่าภาคนี้ก็เปิดตัวละครหน้าใหม่ที่จะกลายเป็นตัวละครหลักและมีบทสำคัญในภาคต่อไปทั้ง Spider-Man India ตัวป่วนตัวฮาที่สร้างสีสันได้อย่างดี Spider-Punk คนเท่ คนคูล คนหัวกบฎ จอมแย่งซีน และ Spider-Man 2099 ที่โคตรเท่ โคตรโหด โคตรอันตราย (ไปๆมาๆดันน่ากลัวกว่าเจ้าตัวร้ายหลักอย่าง Spot เสียอีก) ซึ่งด้วยความที่ภาคนี้ขนสไปเดอร์แมนมาเยอะขนาดนี้เราจึงได้เห็นฉากการวมพลังคอมโบในฉากแอ็กชั่นไล่ล่าปราบวายร้ายหรือฉากสไปเดอร์ทุกคนไล่ล่าไมล์ โมราเลส ในแบบที่เพลินเพลินจำเริญตาไปกับการโยนใย กระโดดไต่ตึก ยิ่งด้วยคุณสมบัติพิเศษของสไปเดอร์แมนแต่ละคน จึงทำให้ทุกฉากของการปรากฎตัวทำภารกิจของเหล่าสไปเดอร์แมนจึงเต็มลูกเล่นสีสันมากมายที่ชวนคนดูว้าวเอาเรื่อง และยิ่งบรรดา easter egg ทั้งหลายที่มีมาครบมาจากเหล่าสไปเดอร์แมนและจากเหล่าร้ายคู่ปรับก็ชวนเซอร์ไพร์สให้คนดูว้าวมากๆ เพราะขนมาหมดแทบทุกอย่างที่จะเกี่ยวข้องกับสไปเดอร์แมน
ถึงแม้เราจะพูดได้ว่า Spider-Man: Across the Spider-Verse ก็คือภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่สร้างขึ้นเพื่อต่อยอดความสำเร็จในวันที่ภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่ได้กำลังความนิยมแบบสุดๆ และเลือกที่จะเล่าออกมาผ่านแอนิเมชั่นที่เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดีตีตลาดเด็กๆและเยาวชน แต่ถ้าเราพิจารณาถึงองค์ประกอบสำคัญต่างๆแล้วก็จะพบกับงานภาพด้านแอนิเมชั่นที่ผสมผสานแทบทุกประเภทของงานศิลป์ การเล่นแสงสีที่สื่อและสอดคล้องกับอารมณ์ เรื่องราว สถานการณ์ของเรา เนื้อหาชวนฉุกคิดถึงการใช้ชีวิตให้เป็นไปตามลิขิตฟ้าหรือจะเลือกใช้ตามวิถีตน ด้วยภาพรวมที่ว่านี่จึงไม่ใช่แค่ภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ว่าด้วยเรื่องราวของสไปเดอร์แมน แต่เป็นงานศิลปะที่ว่าด้วยเรื่องราวของสไปเดอร์แมน ที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านจอภาพยนตร์ขนาดใหญ่ ที่ทั้งคนเสพงานศิลป์ทั่วไปและนักวิจารณ์สามารถที่จะเอนจอยไปกับงานด้านวรรณศิลป์ไปพร้อมกับประเด็นชวนขบคิดในเนื้อหาที่แทรกอยู่ในงานศิลปะที่งดงามชิ้นนี้
2 1
แสดงล่าสุด 10 รายการ หากต้องการ ดูเพิ่มคลิกที่นี่
ข้อมูลส่วนตัว
  • ระดับผู้ใช้งาน:สมาชิก
  • เข้าร่วมเมื่อ:Jun 12, 2023