Doctor Strange in the Multiverse of Madness ภาพยนตร์จากค่าย Marvel และ Disney ผลงานการกำกับของ Sam Raimi ประสบความสำเร็จถล่มทลายด้วยการทำรายได้ในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกไปมากกว่า 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขึ้นเป็นอันดับ 2 ในทำเนียบหนังทำเงินสูงสุดในยุค COVID-19 ระบาด รองจาก Spider-Man: No Way Home ในขณะนี้

หนังฟอร์มยักษ์จาก Marvel และ Disney เรื่องนี้มียอดจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ทั่วโลกจนถึงวันอาทิตย์ที่ผ่านมารวม 803.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้กลายเป็นหนังฮอลลีวูดที่ทำรายได้ในยุค COVID-19 ระบาดสูงสุดเป็นอันดับ 2 รองจาก Spider-Man: No Way Home (1.89 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) แซงหน้า No Time to Die จากซีรีส์ James Bond (774.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และ The Batman (768.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) นอกจากนั้นแล้วก็มีแค่ F9: The Fast Saga ที่เป็นภาพยนตร์ช่วงยุคโควิดซึ่งสามารถทำรายได้ทั่วโลกกว่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึงแม้ว่าจะออกฉายก่อนหน้าเรื่องอื่น ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นก็ตาม

ปัจจุบัน Doctor Strange 2 ทำเงินภายในสหรัฐอเมริกา 342.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในประเทศอื่น ๆ อีก 461.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ยังไม่ประกาศวันกำหนดฉายในจีน และทาง Disney ยังไม่ได้ส่งภาพยนตร์เรื่องใดในสังกัดเข้าฉายที่รัสเซียในขณะนี้

Doctor Strange in the Multiverse of Madness ซึ่งนำแสดงโดย Benedict Cumberbatch ครองตำแหน่งสูงสุดในบ็อกซ์ออฟฟิศระหว่างวันที่ 20 - 22 พฤษภาคมได้อย่างไม่ยากเย็น โดยโกยรายได้ภายในอเมริกาช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนถึง 31.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่หนังเข้าใหม่อย่าง Downton Abbey: A New Era ซึ่งเจาะกลุ่มผู้ชมอายุมากกว่า ทำเงินเป็นอันดับ 2 ที่ 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

คาดกันว่าหนัง Doctor Strange 2 จะลาโรงไปพร้อม ๆ การเปิดตัว Top Gun: Maverick ในช่วงหยุดสุดสัปดาห์วันระลึกทหารผ่านศึก (Memorial Day ตรงกับ 30 พ.ค. ของทุกปี) ถึงแม้ว่ากระแสหนัง Marvel เรื่องนี้น่าจะยังไม่แผ่วง่าย ๆ ก็ตาม

เมื่อเทียบรายได้ของภาพยนตร์ทุกเรื่องใน Marvel Cinematic Universe ที่ฉายทั่วโลก (ยกเว้นจีนและรัสเซีย) ภาคต่อของหนังหมอแปลกอยู่ในอันดับที่ 11 จาก 28 (ส่วน Doctor Strange ภาคแรกแตะเพดานที่รายได้ทั่วโลกกว่า 677 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

สำหรับในต่างแดน ประเทศที่โกยรายได้สูงสุดคือ เกาหลีใต้ โดยทำเงินถึง 45.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามด้วยอังกฤษ (43.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เม็กซิโก (35.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และบราซิล (29.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)