ภาพยนตร์ White Noise ของ Noah Baumbachที่สร้างความสับสนอย่างมาก แต่ก็มีศิลปะที่สวยงาม ปนกับความแปลกประหลาดและเสียดสี ที่มีเรื่องราวเริ่มต้นด้วยตัวมันเอง และมันก็ยากที่จะบอกว่าประเด็นหลักคืออะไรกันแน่ เพราะดูเหมือนว่าจะมีมากมายเหลือเกิน

White Noise อิงจากหนังสือในชื่อเดียวกันของ Don DeLillo ในปี 1985 ซึ่งได้เน้นประเด็นต่างๆ ในยุค 80 ไว้มากมาย โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการบริโภคนิยม จากนั้นก็ได้เน้นประเด็นที่ยังคงเป็นที่แพร่หลายในปัจจุบัน เช่นเรื่อง ศาสนา และการกลัวความตาย ซึ่งเป็นหนึ่งในธีมหลักของภาพยนตร์ เมื่อคุณได้คลี่คลายเรื่องราวต่างๆ ของเรื่องราวแล้ว สุดท้ายคือเรื่องราวของครอบครัว และความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน

ตลอดทั้งเรื่องตัวเอกของเรื่อง t Jack Gladney รับบทโดย Adam Driver และภรรยาของเขา Babette Gladney รับบทโดย Greta Gerwig ครอบครัวแบบผสมที่ได้พูดคุย และใช้ชีวิตท่ามกลางความขัดแย้งที่ได้สร้างความอยากรู้อยากเห็นต่างๆ โดยปล่อยให้เด็กๆ ดูฉลาดกว่าพ่อแม่ของพวกเขา ในกรณีของภาพยนตร์เรื่องนี้พ่อและแม่จะอยู่ในรุ่น Silent Generation ที่อายุยังน้อย หรือสมาชิกรุ่นเก่าของรุ่น Baby Boome ซึ่งในวัยเด็กของพวกเขาอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ของโทรทัศน์ในสมัยก่อนที่ทุกบ้านจะได้รับข่าวสารและความรู้โดยตรงผ่านหน้าจอโทรทัศน์เป็นหลัก

ตรงกันข้ามกับลูกๆ ของพวกเขาที่ไม่ใช่คนต่างถิ่นแต่กลับมีข้อมูลมากมาย และเป็นกลุ่มที่มีความก้าวหน้าที่สำคัญบางอย่างในยุคข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้นใหม่ แทนที่จะเกิดและเติบโตไปพร้อมกับมัน เป็นผลให้พวกเขาสามารถรวบรวมข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าผู้ปกครองพ่อแม่ของพวกเขา และสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้มากขึ้น ธีมนี้ถูกดำเนินไปตลอดทั้งเรื่อง และเพิ่มความโกลาหลตามมามากมาย

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ เนื้อเรื่องของ White Noise ที่อิงจากหนังสือในช่วงปี 1980 ที่ทำให้ DeLillo สามารถจับทัศนคติที่มีความเกี่ยวข้องกันได้อย่างอัศจรรย์ในอีกเกือบ 40 ต่อมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่การแพร่ระบาดของ COVID-19

ใน White Noise Jake ต้องเผชิญหน้ากับความโกลาหลครั้งใหญ่ในฐานะนักวิชาการ

Jack Gladney เป็นตัวละครที่มีการล้อเลียนของนักวิชาการชาวอเมริกันที่คล้ายกับ ของ Arrested Development เขาได้รับการศึกษาสูงกับระเบียบวินัยที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ แต่สามารถหาเลี้ยงชีพได้ด้วยการสร้างพื้นที่สำหรับตัวเอง ไม่ว่าระเบียบวินัยนี้อาจไร้สาระเพียงใด อย่างไรก็ตาม เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับคนอื่นๆ ที่อยู่ในระดับการศึกษาเดียวกันที่ชื่นชมผลงานของเขา และมีความรู้มากมายที่ไม่สามารถใช้กับสิ่งอื่นใดได้ นอกจากการเรียนรู้ และการสอนเพิ่มเติม

Jake เป็นหัวหน้าของศาสตราจารย์ของ Hitler Studies ที่ College-On-The-Hill ซึ่งการบรรยายของเขานั้นเป็นที่นับหน้าถือตา และเป็นที่นิยมอย่างมาก เขาและเพื่อนๆ ถกกันในหัวข้อที่ไร้ประโยชน์ เช่น ความสำคัญของ Elvis และวิะีการทำให้ Elvis ศึกษามีระเบียบวินัยแบบเดียวกับที่ Hitler ศึกษา หรืออย่างเช่นพวกเขาปัสสาวะใส่อ่างล้างมือกี่ครั้ง Jake เป็นคนที่น่าทึ่งเพราะภูมิหลังด้านการศึกษาของเขา และทัศนคติของเขาที่มีต่อภัยพิบัตินั้นสามารถสังเกตได้เมื่อพิจารณาจากมุมมองของโลกแห่งความเป็นจริงในปัจจุบัน

เมื่อก๊าซพิษรั่วไหลเข้าไปในเมืองของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ทัศนคติของ Jake ที่มีต่อการปฏิบัติของรัฐบาลน่าจะไว้วางใจได้สำหรับตัวเขา ผู้ที่กำลังวิเคราะห์สถานการณ์ว่ากำลังทำอะไร และควบคุมมันได้ เมื่อเผชิญหน้ากับความคิดเห็นที่ไม่เห็นด้วย Jake ดูเหมือนจะไม่ได้คลายกังวลเท่าไหร่นัก มีอยู่ช่วงหนึ่งหลังจากการปะทุของก๊าซพิษ และในขั้นตอนการอพยพ Jake บ่นกับตัวเองว่า “ครอบครัวเป็นแหล่งกำเนิดของข้อมูลผิดๆ ของโลก” ในช่วงเวลาหนึ่งสิ่งที่ทำให้สิ่งนี้น่าสนใจยิ่งกว่าคือครอบครัวของเขาเองเป็นอย่างไร อาจเป็นข้อพิสูจน์ได้เกี่ยวกับวลีนี้ โดยเฉพาะ Heinrich รับบทโดย Sam Nivola ลูกชายของเขาที่มักจะเป็นกระบอกเสียงแห่งเหตุผลของครอบครัว ที่ตรงกันข้ามกับพ่อของเขา Heinrich ไม่ไว้ใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลย เขาคือผู้ที่ระแวดระวังเรื่องก๊าซและการดำเนินการของรัฐบาลก่อนใครในครอบครัวของเขา คำถามก็คือ ใครในตระกูล Gladney เป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลเท็จ?

จุดมุ่งหมายในโลกแห่งความเป็นจริงของ White Noise

ในช่วงของการระบาด COVID-19 หลังจากที่โลกอบขนมปัง การร้องเพลงบนระเบียง และการเริ่มเต้น TikTok ซึ่งมีความรู้สึกตึงเครียดด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ตั้งแต่ความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติ และความอยุติธรรม ไปจนถึงการปฏิบัติต่อโรคระบาดในขณะที่มันดำเนินต่อไป สิ่งนี้ได้สร้งความตึงเครียดให้กับปัจจุบัน แต่ก็ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แม้ว่าจะมีปัจจัยมากมายที่อาจส่งผลต่อการให้เหตุผล แต่ปัจจัยหนึ่งที่อาจเป็นความไม่ไว้วางใจในสิ่งที่เป็นข้อมูลผิดๆ และสิ่งที่อาจถูกปิดกั้นการรับรู้ และความแตกต่างระหว่างรุ่นต่อรุ่น อาจเป็นผลมาจากความพร้อมในการใช้งานของข้อมูล

ตามสถิติของ CDC ซึ่งอัปเดตล่าสุดในเดือนตุลาคม 2022 ที่ผ่านมา มีเพียง 65.5% ของอายุ 18-24 ปีเท่านั้นที่ได้รับวัคซีน COVID ครบทั้ง 2 โดส เทียบกับ 71% ของอายุ 25-49 ปี และ 82.7% ของอายุ 50-64 ปี จากนั้น 92% ของผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ในปี 2022 มีรายงานว่าผู้ที่จบปริญญาตรีมีแนวโน้มที่จะรู้จักผู้ที่ได้รับวัคซีน COVID มากกว่าผู้ที่มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ความเหลื่อมล้ำส่วนใหญ่เกิดจากความไม่ไว้วางใจในรัฐ เพื่อรับความรู้อย่างรวดเร็วเกี่ยวกับปัญหาที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว แนวโน้มเดียวกันนี้ได้สะท้อนให้เห็นใน Jake และ Heinrich ในขณะที่ Jake เชื่อในคำสบประมาทเหล่านี้ Heinrich dHit ก็ระวังคำสบประมาทเหล่านั้น

ปัญหาก็คือรัฐบาลดูเหมือนจะเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับประชาชน อย่างไรก็ตามหากมีคนเรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาใหม่ๆ ในเวลาเดียวกับคุณ จากนั้น เมื่อข้อมูลถูกปล่อยออกมาจากแหล่งต่างๆ อย่างต่อเนื่องโดยมีคำว่า ‘ข้อมูลที่ผิด’ กระจายอยู่ทั่วไปในรูปแบบของพอดแคสต์ ป้ายสื่อสังคมออนไลน์ และความขัดแย้งในครอบครัว เราไม่ควรสับสนได้อย่างไร? ทุกวันนี้ความเชื่อมั่นในสื่ออยู่ในระดับต่ำอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีแนวโน้มลดลงด้วยซ้ำ ในแง่ของข้อมูลที่ผิดนี้ไม่ได้บอกอะไรเรามากนัก อย่างไรก็ตามสถิติที่แตกต่างกันเมื่อเทียบเคียงกับภาพยนตร์ที่ทั้งเกี่ยวข้องกับวิกฤตด้านสาธารณสุข ในขณะเดียวกันก็มีความซับซ้อนสูงที่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้คิด จริงๆ แล้วเนื้อหามีความเกี่ยวข้องกันเพียงใด และอะไรคือข้อความที่ทั้ง Baumbach และ DeLillo พยายามจะสื่อ

ถือได้ว่าสิ่งที่เคยเป็นจุดแข็ง ได้กลายเป็นจุดอ่อนของสังคมไปได้ ช่องทางการรับรู้ข้อมูลมีมากมาย และหากคุณไม่เชื่อถือข้อมูลที่ได้รับจากช่องทางที่แจ้ง ก็ยากที่จะรุ้ได้ว่าความจริงคืออะไร ถ้าใครไม่รู้ความจริงที่น่ากลัว ข้อความที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เสนอ White Noise แทบไม่ได้เน้น แต่ทำหน้าที่เป็นประเด็นสำคัญในภาพยนตร์ ด้วยเสียงพูดคุยมากมายเกือบที่จะเหมือนเสียงสีขาวในพื้นหลังของชีวิต เราจะได้ยินความจริงได้อย่างไร?