เมื่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการสตรีมมิงอย่าง Netflix เริ่มกังวลว่าตัวเองอาจจะถูกล้มแชมป์
หากจะพูดถึงสตรีมมิงที่มียอดผู้ใช้งานมากที่สุดในโลกคงหนีไม่พ้น Netflix ยักษ์ใหญ่แห่งสตรีมมิง ที่ไม่มีดีแค่เนื้อหา แต่ยังรวมไปถึงระบบการใช้งาน และรองรับอุปกรณ์ที่หลากหลายด้วย แต่เหตุไฉนหละ? ที่ยักษ์ใหญ่นี้กลัวจะโดนล้มลงได้ จนมีนโยบายออกมาติดๆ กันหลายอย่าง เพื่อที่จะทำให้ทิ้งห่างจากผู้แข่งขันเจ้าอื่น
ย้อนกลับไปเมื่อไตรมาสที่ 1 ของปี 2022 โดยรายงานของ Netflix นั้นมีการชี้แจงว่าสมาชิกทั่วทั้งโลกนั้นจาก 221.64 ล้านราย ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้านี้ 2 แสนราย เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ที่มีตัวเลขสมาชิกลดลง และได้ทำให้หุ้นร่วงลงถึง 25% จึงเป็นเหตุทำให้ยักษ์ใหญ่แห่งนี้ขวัญผวา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ทาง Netflix ประเมินว่าไตรมาสนี้จะมีตัวเลขเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านราย แต่จากผลที่ออกมา ทำให้ Netflix ปรับการประเมินและคาดว่าจะลดลงอีกประมาณ 2 ล้านราย และเมื่อรายงานไตรมาสที่ 2 ของปี 2022 ออกมานั้น Netflix แจ้งว่าสมาชิกลดลงอีก 9.7 แสนราย ถึงแม้ว่าจะต่ำกว่าตัวเลขที่คาดการไว้ แต่ทาง Netflix ก็เริ่มมองหาทางเลือกใหม่ๆ ที่จะรักษาการเจริญเติบโตของบริษัทต่อไปได้ โดยตอนนี้ มีข่าวออกมา 2 อย่างคือ การออกแพ็คเกจแบบมีโฆษณา และการป้องกันการแชร์รหัสผ่าน
หากเราไปดูส่วนแบ่งการตลาดของของสหรัฐเมริกา (ข้อมูลจาก Sensor Tower) จะเห็นได้ว่า คู่แข่งของ Netflix นั้นกินส่วนแบ่งการตลาดไป 61% โดย Netflix นั้นครองอยู่ที่ 39% ถึงแม้ว่า Netflix นั้นจะครองตลาดและมีส่วนแบ่งมากที่สุด แต่แนวโน้มของการแข่งขันที่ดุเดือดนั้นดูเหมือนว่าจะทำให้ Netflix ตกที่นั่งลำบากได้เหมือนกัน เพราะจากการที่ค่ายหนังยักษ์ใหญ่ร่วมใจกันเปิดสตรีมมิงเป็นของตัวเอง เช่น Disney+ ที่มีส่วนแบ่งการตลาดผู้ใช้งานรายเดือนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและรั้งอันดับ 3 ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2022 แม้จะเปิดตัวเพียง 2 ปีกว่าเท่านั้นเอง และยังรวมไปถึงเจ้าอื่นที่เข็นออริจินัลซีรีส์ของตัวเองออกมา ทำให้ผู้ใช้งานต้องเลือกว่าจะจ่ายรายเดียว หรือหลายราย เพื่อคอนเทนต์ที่ตัวเองอยากรับชม
แล้วในบ้านเราหละ? จากการสำรวจของ Media Partners Asia บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยตลาดสื่อ แชมป์ยังคงเป็นของ Netflix ยักษ์ใหญ่ของเรานั้นเอง ที่มีส่วนแบ่ง 24% แต่ WeTV สตรีมมิงสัญชาติจีนก็ตามมาติดๆ นั้นคือ 22% และ Viu มีส่วนแบ่ง 13% จากตัวเลขดังกล่าวจะเห็นได้ว่า WeTV นั้นเริ่มที่จะขึ้นไปเทียบเท่ากับ Netflix แล้ว หาก Netflix ยังไม่มีแผนรับมือใดๆ คาดว่าอีกไม่นาน คงต้องสละแชมป์แล้วแน่นอน ส่วนของเนื้อหาที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ ซีรีส์เกาหลี ที่มีสัดส่วนการเข้าชมถึง 30% ตามมาด้วยอเมริกา 23%, จีน 14%, ญี่ปุ่น 10% และส่วนของไทยมี 5% คงไม่แปลกใจเลยทำไมซีรีส์เกาหลีถึงฮิตติดลมบนโดยเฉพาะในบ้านเราเพราะมีสัดส่วนการเข้าชมที่สูงมากขนาดนี้
การแก้เกมของ Netflix โดยข่าวล่าสุดได้ประกาศออกมาแล้วว่า ตอนนี้ ได้ปล่อยนโยบายใหม่สำหรับผู้ใช้งานที่แชร์รหัสผ่าน โดยเป็นการมีบ้านหลักและบ้านรองขึ้นมา เพื่อให้ผู้ใช้สามารถแชร์กับบ้านหลังอื่นๆ ของตนเองได้ แต่ต้องจ่ายเพิ่มในราคาที่ถูกลง ไม่รวมไปถึงการดูนอกบ้านผ่านมือถือหรือแท็บเล็ตที่ยังสามารถทำได้เหมือนเดิม โดยตอนนี้ปล่อยออกมาให้ใช้งานใน 5 ประเทศคือ อาร์เจนตินา เอลซัลวาดอร์ ฮอนดูรัส กัวเตมาลา และสาธารณรัฐโดมินิกัน ต้องรอดูกันต่อไปว่าผลตอบรับจะเป็นเช่นไร และเมื่อผลตอบรับนั้นออกมาดี ทาง Netflix ปล่อยมาใช้ทั่วโลกก็ต้องมาตามดูกันอีกว่า ในบ้านเรานั้นจะเป็นเช่นไร เพราะต้องออกมายอมรับกันตรงๆ เลยว่า ในบ้านเรานั้นการแชร์รหัสผ่านทำกันแบบโจ่งแจ้ง มีทั้งการขายในเว็บขายของออนไลน์เจ้าใหญ่ หรือการยิงโฆษณาขายใน Facebook หรือจะเป็นการขายในเว็บบอร์ดต่างๆ สร้างกำไรเป็นกรอบเป็นกำให้กับพ่อค้าคนกลาง หากนโยบายนี้สามารถจัดการได้โดยตรง นั่นหมายถึง Netflix จะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มอีก 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือ 36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งเป็นนโยบายที่ค่อนข้างชาญฉลาด
ในส่วนของราคานั้น มีรายละเอียดดังนี้
- Netflix ค่าบริการ 99, 279, 349, 419 บาท ต่อเดือน
- Disney+ Hotstar ค่าบริการ 799 บาท ต่อปี (ประมาณ 66.58 บาท ต่อเดือน)
- WeTV ค่าบริการ 89 บาท ต่อเดือน, 249 บาท ต่อ 3 เดือน และ 899 บาท ต่อปี
- Viu ค่าบริการ 119 บาท ต่อเดือน, 315 บาท ต่อ 3 เดือน และ 1,199 บาท ต่อปี
- Amazon Prime Video ค่าบริการ 189 บาท ต่อเดือน
- HBO GO ค่าบริการ 149 บาท ต่อเดือน
จะเห็นได้ว่า Netflix นั้นมีค่าบริการต่อเดือนสูงที่สุด คือ 419 บาทต่อเดือน โดยสามารถรับชมความละเอียดที่ 4K + HDR และการแก้เกมในส่วนนี้คือ นโยบายที่จะทำแพ็คเกจในราคาถูกลงแต่มีโฆษณา โดยได้เจ้าพ่อเงินหนาอย่าง Microsoft ที่จะมาเป็นพาร์ทเนอร์เพื่อดูแลระบบโฆษณาใหม่นี้ของ Netflix
ทุกคนคงแปลกใจว่าทำไม Netflix ถึงจับมือกับ Microsoft แทนที่จะเป็นเจ้าพ่อโฆษณายักษ์ใหญ่อย่าง Google ที่มีระบบโฆณาไว้ใช้งานอยู่แล้ว ทาง Wall Street Journal ก็ออกมารายงานเบื้องหลังครั้งนี้ว่า เหตุผลหนึ่งคือ Microsoft จะไม่ทำบริการสตรีมมิงมาแข่งขันกับ Netflix จึงทำให้ทางฝั่ง Microsoft ชนะเจ้าอื่นไป เช่น Google ที่มี Youtube ครอบครองอยู่แล้ว และยังมีข่าวจากนักวิเคราะห์ที่ได้คาดการณ์ว่า Microsoft อาจเข้าซื้อกิจการ Netflix ในอนาคตอีกด้วย
เราคงต่อรอดูกันต่อไปว่านโยบายนี้จะเป็นตัวช่วยทำให้ Netflix นั้นเรียกลูกค้าและทำเงินเพิ่มขึ้นอีกขนาดไหน เพราะหลายคนก็คงยอมดูโฆษณาเพียงเพื่อที่จะได้จ่ายเงินน้อยลง แต่ก็ยังมีหลายคนที่ยังคงยอมจ่ายเงินเพื่อไม่ต้องดูโฆษณา ส่วนในประเทศเราก็มี Youtube Premium ที่จ่ายเงินเพื่อไม่ต้องดูโฆษณาอยู่แล้ว แต่กลับกันการดูโฆษณานั้น ทำให้เขาไม่ต้องจ่ายเงิน จึงเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับ Netflix ที่ต้องจ่ายเงินด้วยและดูโฆษณาด้วย
ถึงแม้คู่แข่งที่เพิ่มขึ้นจะเป็นข่าวร้ายกับ Netflix แต่จริงนั้น เป็นข่าวดีกับผู้ใช้งานแบบเราๆ เพราะจะทำให้เกิดการแข่งขันกันมากขึ้น เราอาจจะได้ดู Netflix แบบฟรีๆ ในอนาคตก็เป็นได้
🙆⛏️นี่มันบทความแนวขุดสายลึก! ขอแบบนี้เวอร์ชัน HBO, DISNEY+ หน่อยครับ บราโว่👏
มีกราฟด้วย อย่างเจ๋ง ดูจากส่วนแบ่งตลาดของ WeTV แล้วรู้เลยว่าคนไทยรักซีรีส์จีนจริงๆ
คุณต้อง สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ ก่อน เพื่อที่จะสามารถแสดงความคิดเห็นได้