ตอนจบของ The Mist แตกต่างจากนิยายต้นฉบับของ Stephen King ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้ภาพยนตร์ Hollywood
ตอนจบของภาพยนตร์เรื่อง The Mist (2007) ดูมืดมนกว่าและดีกว่านิยายต้นฉบับของ Stephen King แต่เขากลับชื่นชอบ
ภาพยนตร์เรื่อง The Mist (2007) หรือ มฤตยูหมอกกินคน (2007) มีตอนจบที่ดีกว่านิยายต้นฉบับของ Stephen King และผู้เขียนเองก็เห็นด้วยกับมัน นานมาแล้วที่ผู้กำกับของ The Mist (2007) อย่าง Frank Darabont ได้นำ The Shawshank Redemption (1994) และ The Green Mile (1999) ของ King เข้าสู่โลกภาพยนตร์ ทั้งสองเรื่องได้รับการชื่นชมอย่างกว้างขวางจากการพรรณนาถึงธรรมชาติของมนุษย์ แม้ว่า The Mist (2007) จะได้รับคำวิจารณ์ที่ค่อนข้างหลากหลายจากนักวิจารณ์และผู้ชม แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตอนจบที่ไม่ธรรมดา
The Mist (2007) มีงบประมาณในการสร้างเพียงเล็กน้อย ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีฉากที่ยิ่งใหญ่อลังการ อย่างไรก็ตาม Darabont ชดเชยสิ่งที่ขาดด้วยการดำเนินเรื่องในห้างสรรพสินค้าที่มีพื้นที่จำกัด และนำเสนอความสิ้นหวังในวันสิ้นโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสภาวะจิตใจของผู้คนที่บิดเบี้ยวตามสถานการณ์ The Mist (2007) นำเสนอตอนจบที่น่าหดหู่ใจและขัดใจผู้ชมเป็นอย่างมาก ซึ่งต่างจากนิยายต้นฉบับที่จบแบบปลายเปิด
ตอนจบที่น่าตกใจของภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างจากภาพยนตร์วันสิ้นโลกของ Hollywood ที่เคยมีมา และอาจไม่เหมาะกับรสนิยมของทุกคน อย่างไรก็ตาม ความพยายามของหนังที่ไม่อยากเดินตามรอยเท้าของใคร ทำให้มันเป็นส่วนเสริมที่น่ายกย่องสำหรับการดัดแปลงนิยายของ Stephen King ที่มีอยู่มากมาย เนื้อเรื่องหลักของ The Mist (2007) ดำเนินเรื่องตามเรื่องเล่าสยองขวัญทั่วไปที่ค่อยๆ เพิ่มความตึงเครียดให้กับตัวละคร ซึ่งได้ขังตัวเองไว้ในซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อแสวงหาที่ปลอดภัยจากหมอกมรณะ เมื่อพวกเขากระโดดออกไปนอกร้านในที่สุด ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความหวังแก่ผู้ชมด้วยการหลอกลวงว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดีสำหรับพวกเขา อย่างไรก็ตาม ตอนจบของมันกลับทำลายความหวังของผู้คนจนหมดสิ้น ราวกับนวนิยายสุดหักมุมของ H.P. Lovecraft
ตอนจบแบบ H.P. Lovecarft ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้น่ากลัวขึ้น
ในฉากปิดของ The Mist (2007) ตัวละครหลักบางตัวยึดมั่นในศรัทธาท้าทายทุกโอกาส และแสดงความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่เมื่อพวกเขาหนีออกจากซูเปอร์มาร์เก็ตและออกเดินทางสำรวจโลกอันโหดร้ายของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ตามแนวทางของ Lovecarft จะเริ่ทจากการจุดประกายความหวังกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ และจบที่โศกนาฏกรรมสุดหักมุม ผู้กล้ากลายเป็นเหยื่อของชะตากรรมอันน่าสลดใจเมื่อรถของพวกเขาน้ำมันหมด และพวกเขาลงมติให้ทุกคนพร้อมใจกันฆ่าตัวตายก่อนที่สัตว์ประหลาดแห่งสายหมอกจะเข้ามาหาพวกเขา พระเอกของเรื่อง David ( รับบทโดย Thomas Jane) ยิงลูกชายของตัวเองพร้อมกับเพื่อนอีกสี่คนอย่างเลือดเย็น แต่ไม่มีกระสุนเหลือพอสำหรับการฆ่าตัวตายของเขา รังเพลิงที่ว่างเปล่าและถังน้ำมันที่แห้งสนิทของรถเป็นสัญลักษณ์แห่งหัวใจที่แตกสลายของ David ยิ่งกว่านั้นความจริงที่โหดร้ายก็เหยียบเศษใจที่พังไม่มีชิ้นดีของเขา เมื่อเขาพบว่าภัยพิบัติได้สิ้นสุดลง กลุ่มคนขี้ขลาดและพวกไร้วุฒิภาวะที่แอบอยู่ในห้างได้รับความช่วยเหลือ ส่วนคนกล้าอย่างเขาต้องทนทุกข์กับสิ่งที่ทำลงไป เป็นปรัชญาของ H.P. Lovecraft ที่เคยสื่อเอาไว้ว่าโชคชะตาไม่เคยช่วยเหลือใคร แม้แต่วีรบุรุษ
สิ่งที่ Stephen King พูดเกี่ยวกับตอนจบของภาพยนตร์เรื่อง The Mist
เมื่อ Frank Darabont ได้พูดถึงสิ่งที่ King คุยกับเขาเกี่ยวกับภาพยนตร์ The Mist (2007) ซึ่งสรุปใจความได้ว่า King รู้สึกผิดหวังกับเรื่องนี้ เพราะมันต่อต้านวงการ Hollywood ต่อต้านทุกอย่าง แต่เขาชอบแนวทางของภาพยนตร์เรื่องนี้และขอให้แฟรงค์ทำทันที
ในเวลาต่อมา Stephen King รู้สึกทึ่งกับตอนจบอันน่าสะพรึงกลัวของ The Mist (2007) และได้พูดติดตลกว่า
ถ้ามันไม่ผิดกฎหมาย ผมอยากให้ 5 นาทีสุดท้ายของหนังเรื่องนี้ เป็นฉากที่ตัวละครผูกคอตาย
คุณต้อง สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ ก่อน เพื่อที่จะสามารถแสดงความคิดเห็นได้