รีวิว Dragon Age: Absolution แอนิเมชันแผนจารกรรมสมบัติลับในโลกแฟนตาซีแสนจืดชืด
รู้จัก Dragon Age กันไหมครับ? มันคือแฟรนไชส์วิดีโอเกมสวมบทบาท (Role-Playing Game - RPG) แนวแฟนตาซีที่จัดว่าประสบความสำเร็จแฟรนไชส์หนึ่ง ปล่อยเกมภาคหลักออกมาแล้ว 4 ภาคตั้งแต่ปี 2009 - 2014 และกำลังจะวางจำหน่ายภาคที่ 5 ในเร็วๆ นี้ นอกจากนั้นยังมีเนื้อเรื่องสปินออฟในรูปแบบสื่อประเภทต่างๆ ทั้งวิดีโอเกม นวนิยาย การ์ตูนคอมิก บอร์ดเกม ภาพยนตร์ และทีวีซีรีส์ หนึ่งในนั้นคือ Dragon Age: Absolution ซึ่งเพิ่งออกฉายทาง Netflix เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา
ซีรีส์ Dragon Age: Absolution เป็นแอนิเมชันผลงานร่วม 2 สัญชาติระหว่าง Red Dog Culture House สตูดิโอแอนิเมชันจากเกาหลีใต้ และ BioWare ค่ายเกมจากแคนาดาเจ้าของแฟรนไชส์ Dragon Age มีจำนวนตอนทั้งสิ้น 6 ตอน ความยาวตอนละประมาณ 30 นาที เนื้อเรื่องเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ในเกมภาคที่ 4 Dragon Age: Inquisition แต่ถึงไม่เคยเล่นเกมมาก่อนก็ดูรู้เรื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจักรวาล Dragon Age เท่าที่นำเสนอในซีรีส์นี้ไม่ได้มีตรงไหนแตกต่างเป็นพิเศษจากเรื่องผจญภัยแฟนตาซีทั่วไป อีกส่วนมาจากการที่รายละเอียดสำคัญในเรื่องเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นใหม่สำหรับภาคนี้โดยเฉพาะ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพล็อตเรื่องในภาคก่อนๆ ทั้งภาคหลักและภาคแยก
ถึงตรงนี้ก็ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า ผมเองก็ไม่เคยติดตามเนื้อเรื่องของ Dragon Age มาก่อน และขอเขียนรีวิวนี้โดยพิจารณาเฉพาะองค์ประกอบเท่าที่มีปรากฏในซีรีส์ Absolution ซึ่งตามความเห็นผมคือสมบูรณ์แล้วสำหรับการเล่าเรื่องให้จบภายในตัวเอง แต่เล่าได้ดีแค่ไหน เอาไว้ว่ากันต่อไป
Dragon Age: Absolution มีพล็อตหลักคือการช่วงชิง ‘เซอร์คิวลัม อินฟิไนทัส’ (Circulum Infinitus) ห่วงทองคำขนาดเท่ากำไลที่มีอำนาจในการคืนชีพคนตาย ปัจจุบันถูกเก็บรักษาอย่างดีในพื้นที่หวงห้ามของอาณาจักรเทวินเทอร์ ฝั่งตัวเอกคือกลุ่มนักรบรับจ้างและนักเวทอิสระที่ได้รับการว่าจ้างให้ไปขโมยห่วงดังกล่าวออกมา ส่วนตัวละครหลักฝั่งตรงข้ามเป็นจอมเวทระดับสูงของเทวินเทอร์ที่ต้องการนำของชิ้นนี้ไปใช้ในวัตถุประสงค์ส่วนตัวบางอย่าง จนในที่สุดเรื่องนำไปสู่การปะทะกันของทั้ง 2 ฝ่ายเพื่อแย่งชิงของวิเศษดังกล่าว
ถ้าดูแค่พล็อตหลัก ซีรีส์นี้คือเรื่องแนวจารกรรม (Espionage) ที่มีการรวบรวมยอดฝีมือแขนงต่างๆ มาร่วมทำปฏิบัติการขโมยของสำคัญอะไรสักอย่าง แบบเดียวกับใน Ocean’s Eleven (2001) และ The Misfits (2021) เพียงแต่มีความเป็นแฟนตาซีเคลือบทับอยู่ ว่ากันแบบไม่อ้อมค้อม พล็อตเรื่องแนวจารกรรมดังกล่าวคือสิ่งเดียวที่พอจะทำให้ตัวซีรีส์สนุกและดูน่าสนใจยู่บ้าง เพราะส่วนที่เป็นแฟนตาซีนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างจืดชืดน่าเบื่อ แถมมีให้เห็นเป็นประจำในบันเทิงคดีแนวแฟนตาซีทั่วไป อย่างเช่น ฉากท้องเรื่องที่ดูคล้ายยุโรปยุคกลาง มีปราสาท เวทมนตร์ มังกร เผ่าเอลฟ์ที่เป็นมนุษย์ร่างเพรียวบางหูแหลม เผ่าคนแคระที่เป็นมนุษย์ร่างป้อมๆ ตันๆ หนวดดกๆ รวมถึงมีคอนเสปต์ที่ผู้เสพวัฒนธรรมป๊อปในปัจจุบันน่าจะเคยพบเจอจากเรื่องแฟนตาซีดังๆ เรื่องอื่น เช่น ความขัดแย้งที่มีมานานระหว่างคนแคระและเอลฟ์แบบใน The Lords of the Rings การลดระดับเอลฟ์ให้เป็นทาสของมนุษย์แบบใน The Witcher ทว่าซีรีส์นี้แทบไม่ได้นำเสนอคอนเสปต์แฟนตาซีแปลกใหม่ใดๆ ที่ทำให้จักรวาล Dragon Age แตกต่างโดดเด่นจากจักรวาลเรื่องแฟนตาซีอื่นเลย ทำให้ซีรีส์ Absolution เป็นแค่แอนิเมชันแนวจารกรรมในโลกแฟนตาซีดาดๆ เท่านั้น
อันที่จริง ต่อให้ฉากท้องเรื่องไม่น่าสนใจ แต่ถ้ามีตัวดำเนินเรื่องน่าสนใจก็ยังทดแทนกันได้ ทว่าตัวละครกลับมีดีไซน์ที่ดูธรรมดาๆ พอกัน คล้ายเป็นตัวละครที่สร้างขึ้นอย่าง Random สำหรับเป็นสมาชิกปาร์ตี้เอาไว้ตะลุยด่านและล้างผลาญมอนสเตอร์ในเกม RPG แฟนตาซีอย่างเช่น Dungeons & Dragons มีคลาสภาคบังคับอย่างนักดาบ นักเวท มือสังหาร เผ่าพันธุ์ที่มีก็เป็นพวกที่เห็นกันคุ้นตาอย่างมนุษย์ เอลฟ์ คนแคระ แล้วก็มีเผ่าคูนารี (Qunari) ที่ชื่อแปลกหน่อยแต่ดีไซน์ดูพื้นๆ เป็นแค่คนตัวสูงที่มีเขายาวแบบภาพจำของปีศาจ มีสีสันเพิ่มเติมขึ้นมาบ้างจากความสัมพันธ์ LGBTQIA+ ของกลุ่มตัวละครเอก ทั้งแบบจูบปากดูดดื่มให้เห็นกันชัดๆ ตั้งแต่ต้นระหว่างเอลฟ์สาวมิเรียม (พากย์เสียงโดย Kimberly Brooks) กับฮีรา (พากย์เสียงโดย Sumalee Montano) จอมเวทชาวมนุษย์ และแบบส่อพิรุธทางคำพูดและท่าทางระหว่างมนุษย์หนวดเฟิ้มอย่างโรแลนด์ (พากย์เสียงโดย Phil LaMarr) กับคนแคระเคราดกอย่างล็อกแลน (พากย์เสียงโดย Keston John) รวมถึงภูมิหลังของมิเรียมที่เชื่อมโยงกับตัวเอกฝ่ายตรงข้ามอย่างเรซาเรน (พากย์เสียงโดย Josh Keaton) แต่สีสันเหล่านี้ก็แสนจะเบาบางจนถูกกลบมิดด้วยเนื้อเรื่องและฉากอันจืดชืด
ทั้งนี้ถ้าจะดูแบบไม่คิดอะไรมาก ซีรีส์นี้ก็นับเป็นการ์ตูนที่เปิดดูเพลินๆ ฆ่าเวลาระหว่างทำงานหรือนั่งรถเดินทางไกลได้ ภาพแอนิเมชัน 2 มิติซึ่งผสมผสานลายเส้นแบบการ์ตูนตะวันตกกับอานิเมะมีการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลต่อเนื่อง โดยเฉพาะฉากต่อสู้ถือว่าทำได้มันสะใจไม่น้อย มีการผสมซีจี 3 มิติในรูปวัตถุสิ่งของ อาคาร และมอนสเตอร์เข้ามาบ้าง ซึ่งออกจะดูลอยพอมาอยู่ในซีนเดียวกับภาพ 2 มิติ แต่ก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดในระดับที่ไม่ควรแนะนำให้ใครไปรับชม
ในภาพรวม Dragon Age: Absolution เป็นซีรีส์แอนิเมชันระดับกลางๆ ที่ไม่ได้ดูโดดเด่นน่าสนใจ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเลวร้ายอะไร กระทั่งแง่มุม LGBTQIA+ ซึ่งแทบจะเป็นคุณลักษณะภาคบังคับของเนื้อหาซีรีส์และภาพยนตร์ที่สร้างเพื่อฉายใน Netflix โดยเฉพาะในปัจจุบันก็ไม่ได้มีมากจนชวนอึดอัด ออกจะน่าเสียดายอยู่บ้างที่ความครึ่งๆ กลางๆ ของซีรีส์นี้ไม่น่ามีแนวโน้มที่จะดึงดูดผู้ชมที่ไม่เคยรู้จักแฟรนไชส์ Dragon Age มาก่อนให้นึกอยากทำความรู้จักกับมัน แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคลของผม ซึ่งจะตรงกับของคุณหรือไม่นั้น ทางเดียวที่จะพิสูจน์ได้คือการรับชมด้วยตัวเองครับ
คุณต้อง สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ ก่อน เพื่อที่จะสามารถแสดงความคิดเห็นได้