Blackkklansman (2018) กลายเป็นภาพยนตร์ที่มีอิทธิพลต่อสังคมได้อย่างไร?

ภาพยนตร์ของ Spike Lee ที่จุดประกายการสนทนาเกี่ยวกับเชื้อชาติ การเมือง และวัฒนธรรม ซึ่ง Lee ยังคงเป็นกระบอกเสียงให้กับเรื่องนี้ในฐานะผู้กำกับ ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายเกี่ยวกับอคติข้ามวัฒนธรรมใน Do the Right Thing (1989) หรือ การต่อสู้ที่สะท้อนความสูญเสียจากสงครามอย่าง Da 5 Bloods (2020) ซึ่งภาพยนตร์เหล่านี้เป็นเครื่องหมายของเขาที่ชัดเจนต่อแนวคิดทางการเมืองแบบเท่าเทียม อย่างไรก็ตาม ผลงานของเขา Blackkklansman (2018) ก็คือภาพสะท้อนต่อแนวคิดเหยียดสีผิวที่ยังคงมีอยู่เสมอในโลกความจริง ซึ่ง Lee ได้เปลี่ยนภาพยนตร์ชีวประวัติให้กลายเป็นหนังสะท้อนสังคมที่ตีแผ่ความจริงอันแสนโหดร้ายได้อย่างสมบูรณ์แบบ

Blackkklansman (2018) เป็นภาพยนตร์ชีวประวัติของ Ron Stallworth (รับบทโดย John David Washington) นักสืบผิวดำคนแรกในกรมตำรวจโคโลราโดสปริงส์ที่แทรกซึมเข้าไปในองค์กร Ku Klux Klan (กลุ่มชาตินิยมผิวขาว) เนื่องจากภาพยนตร์ดังกล่าวสร้างขึ้นจากสถานการณ์จริง จึงไม่น่าแปลกใจที่ Blackkklansman (2018) สามารถสะท้อนความจริงของปัญหาที่หยั่งรากลึกในสังคม ภายใต้อุดมคติเหยียดผิวที่ยากจะแก้ไขให้หมดไป ตัวละคร Ron เป็นตำรวจแต่ถูกบอกอยู่เสมอว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่มีข้อบกพร่อง รอนพยายามเถียงกับ Patrice (รับบทโดย Laura Harrier) เกี่ยวกับภาพยนตร์ประเภท Blaxploitation ที่นำเสนอเรื่องราวความรุนแรง การฆาตกรรม ยาเสพติด ซึ่งส่งเสริมทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อคนผิวสี Ron คิดว่าภาพยนตร์เหล่านี้เป็นเพียงภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่ได้สะท้อนความจริงใดๆ ต่อกลุ่มชาติพันธุ์ผิวสีที่ถูกมองว่าเป็นพวกป่าเถื่อนในสมัยนั้น เปรียบเทียบสิ่งนี้กับฉากก่อนหน้าในภาพยนตร์ เมื่อนักสิทธิพลเมือง Kwame Ture (รับบทโดย Corey Hawkins) พูดถึงภาพยนตร์ Tarzan the Ape Man (1932) ที่เขาดูตอนยังเป็นเด็ก ซึ่งปลูกฝังให้เยาวชนเกลียดชังคนผิวดำ ในฉากที่ Tarzan สังหารชาวพื้นเมืองแอฟริกันและเด็กที่ดูก็เอาใจช่วยเขาในการกระทำนั้น สรุปได้โดยรวมคือเนื้อหาส่วนใหญ่ของ Blackkklansman (2018) จะหมุนรอบการปลูกฝังแนวคิดเหยียดเชื้อชาติมากกว่าฉากต่อสู้ที่ดุเดือด

ฉากที่ทรงพลังที่สุดในเรื่องคือฉากที่ Flip (รับบทโดย Adam Driver) ปลอมตัวเป็น Ron Stallworth เข้าร่วมกับองค์กร Ku Klux Klan และชมภาพยนตร์ The Birth of a Nation (1915) ที่มีเนื้อหาเชิดชูคนขาวและระบุว่าคนขาวคือผู้บริสุทธิ์ ซึ่งระหว่างที่ฉายภาพฉากเหล่านี้ ได้มีการตัดสลับฉากเป็นบทพูดที่ยืดยาวของตัวละคร Jerome Turner (รับบทโดย Harry Belafonte) นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิพลเมืองในขณะที่เขาเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มผิวดำที่ถูกกลุ่มคนร้ายฆ่าอย่างโหดเหี้ยมหลังจากถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิงผิวขาว ถือเป็นสองฉากต่อเนื่องที่ทำร้ายจิตใจผู้ชมเป็นอย่างมาก สิ่งที่ทำให้ฉากนี้มีพลังมากขึ้นคือการอ้างว่าภาพยนตร์เรื่อง The Birth of a Nation (1915) เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้มีการก่อตั้งกลุ่มชาตินิยมผิวขาวขึ้นมา และกลายเป็นความรุนแรงต่อสองชาติพันธุ์ที่ลุกลามบานปลายแบบไม่มีจบสิ้น ซึ่งเป็นนัยแอบแฝงที่ Spike Lee ต้องการจะบอกว่า สื่อความบันเทิงมีอิทธิพลต่อทัศนคติต่อผู้คนมากเพียงใด

ตัวอย่างภาพยนตร์ Blackkklanman (2018)

ในตอนจบของภาพยนตร์เรื่องนี้ รู้สึกเหมือนกับว่าการเปลี่ยนแปลงกำลังจะมาถึงในที่สุด สมาชิก Ku Klux Klan หลายคนที่ไร้ความสามารถรวมไปถึงกลุ่มตำรวจเหยียดผิวที่ข่มขู่ Ron Stallworth ตลอดทั้งเรื่องได้ถูกจับกุม หัวหน้าใหญ่ขององค์กรอย่าง David Duke (รับบทโดย Topher Grace) ก็ยังโดน Ron หักเหลี่ยมจนพูดไม่ออก ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี จนกระทั่ง Ron และ Pratice ได้ยินเสียงเคาะประตูที่หน้าบ้าน พวกเขาเตรียมอาวุธพร้อมสำหรับทุกสิ่งที่อยู่ข้างนอก แต่เมื่อพวกเขามองออกไปข้างนอกพวกเขากลับไม่เห็นภัยคุกคามที่จับต้องได้ สิ่งที่พวกเขาเห็นคือความเป็นจริงของเรา ที่แยกจากข้อจำกัดของเนื้อหาในภาพยนตร์ พวกเขาเห็นภาพชีวิตจริงของการเหยียดเชื้อชาติที่ยังมีอยู่ในสหรัฐอเมริกายุคปัจจุบัน พวกเขาเห็น Donald Trump ที่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงกับม็อบต่อต้านการเหยียดผิว พวกเขาเห็น David Duke ในชีวิตจริงกล่าวสุนทรพจน์ในปี 2017 พวกเขาเห็นการโจมตีทางรถยนต์ต่อผู้ประท้วงในชาร์ลอตส์วิลล์ Lee ตระหนักดีว่าเรื่องราวที่เขากำลังเล่าไม่มีจุดจบ การเอาชนะสมาชิกสี่คนของ Ku Klux Klan ไม่ได้ยุติการเหยียดเชื้อชาติ การจับกุมเจ้าหน้าที่เพียงคนเดียวไม่ได้ยุติการใช้อำนาจในทางมิชอบของตำรวจ ภาพยนตร์ชีวประวัติเรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวโลกแห่งความเป็นจริงไม่ใช่การพรรณนาถึงประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่แต่ประการใด Spike Lee ได้สร้างภาพยนตร์ที่เป็นเสียงสะท้อนของสังคม ในขณะเดียวกันก็เป็นธนูอาบยาพิษที่จะสร้างบาดแผลให้คนที่ได้รับชมไปอีกนาน