วิธีที่ภาพยนตร์ Insidious กำหนดเป้าหมายความกลัวประเภทต่างๆ สำหรับผู้ชม
ภาพยนตร์สยองขวัญเหนือธรรมชาติปี 2010 เรื่อง Insidious กำกับโดย James Wan และมีนักแสดงที่ยอดเยี่ยมซึ่งนำแสดงโดย Patrick Wilson และ Rose Byrne กว่าทศวรรษหลังจากการเปิดตัวครั้งแรก Insidious ได้สตรีมบน HBO Max และทำหน้าที่เป็นแก่นของภาพยนตร์สยองขวัญที่ฟื้นคืนชีพในปี 2010 ทางด้าน Wan กำกับเฉพาะภาพยนตร์สองเรื่องแรกของแฟรนไชส์ ซึ่งเข้ากันได้ดีก่อนที่ซีรีส์นี้จะถูก Whannell เข้าควบคุมสำหรับภาพยนตร์เรื่องที่สามและสี่
สิ่งที่ทำให้ Insidious แตกต่างจากคู่แข่งและผลงานอื่นๆ ของผู้กำกับ James Wan เอง อย่างเช่น Saw และ The Conjuring คือความจริงที่ว่า ความกลัวที่แท้จริงมาจากแนวคิดเรื่องการเดินในฝัน มากกว่าการพึ่งพาความรุนแรงทางกายภาพที่ต้องใช้เทคนิค CGI หรือ Jump Scare ภาพยนตร์สยองขวัญมักใช้กลวิธีเหล่านี้เพื่อกระตุ้นการตอบสนองต่อความกลัวในผู้ชม แต่ Wan ได้เขียนบน Facebook ว่าเขาต้องการ “ขจัดภาพการทรมานและอนาจาร” ที่เขาได้รับจากการสร้าง Saw ในปี 2004 หลายคนอาจเห็นด้วยว่าเขาทำสำเร็จและได้ใช้สมมติฐานของการเดินในฝันเป็นปัจจัยที่น่ากลัวที่สุดของเขาในเรื่อง Insidious
ในที่สุด CGI เพิ่มเติมก็ถูกเพิ่มเข้าไปในภาพยนตร์เรื่องต่อมาในแฟรนไชส์ Insidious เนื่องจากภาพที่น่ากลัวกลายเป็นจุดขายสำหรับภาพยนตร์ได้ดีมากขึ้น แต่ภาพยนตร์ต้นฉบับสองเรื่องในซีรีส์นี้ก็ยังอาศัยโทนภาพแบบเดิมพวกเขาอยู่ หากพูดถึงภาพยนตร์เรื่อง Nightmare on Elm Street หรือ นิ้วเขมือบ ที่ได้สร้างแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จโดยอิงจากแนวคิดเรื่องวิญญาณที่ติดตามผู้คนไปสู่ความฝัน แต่ทางด้าน Insidious ก็ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องอาศัยสิ่งมีชีวิตที่ถือกรรไกร หรือความรุนแรงทางร่างกาย แต่ความน่ากลัวของ Insidious มุ่งความสนใจไปที่ความคิดของเด็กๆ ที่เดินทางไปยังอีกโลกหนึ่งในความฝันและเผชิญหน้ากับวิญญาณที่ต้องการบุกรุกร่างกายของพวกเขาและต้องเดินไปท่ามกลางสิ่งมีชีวิต
มุมมองการเดินในฝันใน Insidious สามารถแสดงถึงบาดแผลที่สืบทอดมาจากพ่อสู่ลูกได้อย่างง่ายดาย Josh (รับบทโดย Wilson) เขาจำไม่ได้ว่ามีความสามารถในการเดินทางสู่ “The Further” เมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเตรียมลูกชายให้พร้อมรับประสบการณ์สยองขวัญแบบเดียวกันนี้ แนวความคิดนี้เพิ่มความน่ากลัวขึ้น เนื่องจากหลายคนอาจที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดเรื่องความทุกข์จากเงื่อนไขบางประการ ที่ครอบครัวของพวกเขาลืมไปตั้งแต่เด็ก จึงทำให้ลูกชาย Dalton ก็ไม่อาจตื่นจากอาการโคม่าได้ และความผิดก็จะตกไปอยู่ที่ฝ่ายพ่อ ที่ยอมไม่รับมือจากการคุกคามตั้งแต่วัยเด็กอย่างจริงจัง
สำหรับผู้ที่เคยดู Insidious ภาคแรกแล้ว ตอนจบเผยให้เห็นว่าในที่สุด Josh ก็กลายเป็นผู้หญิงชั่วร้ายที่คอยรังควานเขาและลูกชายของพวกเขาตลอดทั้งเรื่อง ตอนจบเป็นการปิดฉากภาพยนตร์เรื่องแรกได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะมันทำให้ผู้ชมรู้สึกตั้งหน้าตั้งตารอในภาคต่อ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการช่วยชีวิต Josh จาก “The Further” ใน Insidious: Chapter 2 ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นด้วย Josh และ Renai (รับบทโดย Byrne) ติดต่อกับนักปีศาจวิทยาที่จะช่วยให้พวกเขาเผชิญหน้ากับการหลอกหลอนที่ครอบครัวของพวกเขาเคยประสบในภาพยนตร์นี้มาก่อน
คำแนะนำของ Elise นักปีศาจวิทยา ในการเผชิญหน้ากับวิญญาณนี้อีกครั้งคือการบังคับให้ Josh ลืมความสามารถในการถอดจิตของเขา ที่อาจทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายตั้งแต่แรก แง่มุมนี้อนุมานให้ผู้ชมเห็นว่าการลืมเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจไม่ได้ปกป้องผู้รอดชีวิต เมื่อพิจารณาถึงแนวคิดของการมีสภาวะที่ไม่สามารถควบคุมได้ซึ่งทำให้เกิดความไม่มั่นคงและเป็นภัยต่อบุคคลอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดความกลัวที่แท้จริงได้ การมุ่งเน้นไปที่องค์ประกอบนั้นในภาพยนตร์ ทำให้ Insidious แตกต่างจากภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องอื่นๆ อย่างแท้จริงในขณะนั้น เนื่องจากการมีจุดยืนที่มุ่งเป้าไปที่ความกลัว การครอบครอง และการหลอกหลอนในโลกแห่งความฝัน นั่นเอง
คุณต้อง สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ ก่อน เพื่อที่จะสามารถแสดงความคิดเห็นได้