สำหรับภาคนี้บอกเลยว่าของดีจัดๆ ภาคแรกดีแค่ไหน ภาคนี้ยิ่งดีขึ้นไปอีก ยกให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์แห่งยุคนี้เลย แต่ต้องเตือนสำหรับคนที่ไม่เคยดูตั้งแต่ภาคแรกก่อนว่าคุณควรศึกษาเซ็ตอัพของโลกในหนังก่อนที่จะไปดู เพราะถ้าเริ่มดูภาคแรกเลยแบบหัวโล่งๆ มันจะรู้สึกเหนื่อยและอืดไปหมด อย่างผมตอนดูภาคแรกก็คือเข้าไปดูแบบหัวโล่งๆ เลย คือชอบนะแต่ยังไม่ได้อินมากเพราะยังไม่ค่อยเข้าใจ แถมตัวละครก็เยอะมาก พอได้มาอ่านเรื่องราวเซ็ตอัพโลกหลังจากดูภาคแรกไปรอบนึงถึงจะเก็ตและชอบขึ้นมา
มันเป็นหนังที่เราต้องดูภาค 1-2 แบบติดกัน เพราะเรื่องราวมันต่อเนื่องกันเลย ภาคแรกเขาใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการปูเรื่องราว ให้เราได้เห็นว่ามีตัวละครอะไรบ้าง ตัวละครแต่ละตัวเป็นยังไง มีเผ่าอะไรบ้าง มีบ้านอะไรบ้าง เป้าหมายของตัวเอกคืออะไร ดังนั้น หลายคนที่ดูภาคแรกเลยอาจจะไม่ชอบเพราะรู้สึกว่ามันช้า แต่พอมาภาคนี้ทุกอย่างมันเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว การเล่าเรื่องมันเลยไหลลื่นมาก เป็นหนังที่เน้นคุยกัน แต่มันดันสนุกมาก เขียนบทมาดีมากจริงๆ ไดอะล็อกแต่ละอย่างที่ตัวละครพูดมันดีงามหมด เล่าเรื่องดีมาก มีการเกริ่นทิ้งไว้ให้เราสงสัยตอนแรก พอช่วงท้ายเรื่องทุกอย่างก็คลี่คลายแบบหมดจด เก็บรายละเอียดดีมากๆ
ชอบที่เขาพาเราไปเจาะลึกถึงจิตใจและแสดงให้เราเห็นถึงจุดยืนของแต่ละตัวละครที่แตกต่างกัน คือมันไม่ใช่หนังไซไฟอวกาศที่เน้นไปที่ให้เราเห็นฉากต่อสู้เท่ๆ ยานอวกาศเจ๋งๆ คือมันก็มีหมดนะพวกฉากเหล่านั้น แต่มันไม่ได้เยอะมาก เนื้อของหนังจริงๆ มันคือการพาเราไปอยู่ในโลกนั้นจริงๆ เน้นไปที่เรื่องสงคราม ความสูญเสีย เกมการเมือง แต่สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อสารออกมามากที่สุดก็คือเรื่องที่ว่าความเชื่อและความศรัทธามันสามารถชักนำผู้คนได้ขนาดไหน โดยเล่าผ่านตัวละครอย่าง Paul Atreides เด็กหนุ่มในคำทำนายผู้ที่มักตั้งคำถามและไม่เคยเชื่อว่าตัวเองเป็นเด็กคำทำนาย
ในขณะเดียวกันเขาก็ทิ้งให้คนดูได้ตั้งคำถามต่อว่าคำทำนายที่ว่านี้สรุปแล้วมันจริงแท้แค่ไหน? เพราะมันเป็นคำทำนายของเผ่า เบเนเจสเซริต กลุ่มสตรีผู้ที่คอยบงการทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง หรือว่าง่ายๆ ก็คือ คำทำนายนี้มันถูกสร้างมาเพื่อใช้เป็นอำนาจในการควบคุมผู้คนผ่านความเชื่อ ความศรัทธา และเมื่อคุณกุมหัวใจผู้คนได้แล้ว คุณจะมีอำนาจเหนือคณานับ ผู้คนพร้อมจะสละทุกอย่างเพื่อคุณแม้กระทั่งชีวิต มันไม่ใช่แค่การครองใจคน แต่มันคือการที่ทุกคนยกย่องพระเอกเป็นเหมือนพระเจ้า มันคือสิ่งที่ไม่ว่าจะมีกำลังทหารหรือทรัพสมบัติมากแค่ไหนก็ไม่สามารถซื้อได้
แต่ไม่ได้มีแค่บทเท่านั้นที่ดี เพราะส่วนอื่นๆ ก็ดีงามไร้ที่ติไม่แพ้กัน นักแสดงคือแสดงดีทุกคนจริงๆ แถมภาคนี้ยังเพิ่มนักแสดงเข้ามาอีกหลายคน ซึ่งทุกคนที่มาใหม่คือสุดยอดกันหมด แสดงดีปล่อยของใส่กันไม่ยั้งเลย Timothée Chalamet และ Zendaya แบกหนังทั้งเรื่องได้แบบสบายๆ โดยเฉพาะ Timothée ฉากหลังจากที่ดื่มน้ำแห่งชีวิตไปแล้ว เราจะเห็นได้เลยว่าตัวละครพระเอกเปลี่ยนไปมาก ทั้งสีหน้า แววตา การตัดสินใจ จากตอนแรกที่ยังกล้าๆ กลัวๆ มีความลังเล พอได้ดื่มไปแล้วเหมือนกลายเป็นอีกคนไปเลย ซึ่ง Timothée แสดงได้ดีมากจริงๆ อีกคนที่ต้องชมเลยคือ Austin Butler ตัวร้ายสุดเท่ที่มาน้อยแต่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกซีนที่ออกมาคือเอาคนดูอยู่หมัด ทั้งเท่ทั้งโรคจิตในเวลาเดียวกัน ส่วน Florence Pugh ก็แสดงได้ดีงามตามมาตรฐานเช่นกัน
สุดท้ายที่ต้องพูดถึงเลยคืองานภาพและงานด้านโปรดักชัน ส่วนนี้คือดีงามแบบ 100/10 ผู้กำกับภาพและคนออกแบบฉากคือเก่งมาก คาราวะเลย งานภาพสวยทุกซีนแบบไร้ที่ติ ดูแล้วรู้เลยว่าเขาวางแผนการถ่ายทำมาดีมาก ทุกอย่างผ่านการคิดอย่างถี่ถ้วนมาหมด ทั้งแสงทั้งเงา มันเป๊ะไปหมด ส่วนงานด้านโปรดักชันเองก็จัดเต็มจัดหนักกว่าภาคแรก ซีจีดีมาก งานออกแบบก็ยอดเยี่ยม เสื้อผ้าหน้าผมก็ดีงาม ทุกอย่างยังเนี้ยบเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือความอลังการที่เหนือกว่าภาคแรก สุดท้ายนี้ที่อยากจะฝากไว้คือ เรื่องนี้ต้องไปดูในระบบ IMAX จะดีที่สุด เพราะมันเป็นหนังที่สร้างมาเพื่อ IMAX โดยเฉพาะ คือต่อให้คุณไม่ได้อินกับเรื่องราว แต่แค่ได้เข้าไปดูงานภาพสุดอลังการผมว่ามันก็คุ้มค่าตั๋วแล้ว ส่วนใครที่ดูภาคแรกแล้วชอบอยู่แล้ว ผมมันใจเลยว่าหากได้ดูภาคนี้คุณจะยิ่งรัก Dune เพิ่มขึ้นไปอีก ไปดูกันเถอะครับ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน
ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ เพราะหนังให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด
คุณต้อง สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ ก่อน เพื่อที่จะสามารถแสดงความคิดเห็นได้