เรียงโดย
ประจำวัน

The Perfumier
*The Perfumier (2022)* ชื่อภาษาไทยคือ "กลิ่นฆาตกร" ภาพยนตร์จากประเทศเยอรมนีเรื่องล่าสุดของ Netflix ที่จะพาเราไปติดตามเรื่องราวชวนปวดหัวของคนทำน้ำหอมที่มีจิตใจวิปริตและตำรวจที่สูญเสียการได้กลิ่นและชีวิตคู่ล้มเหลว ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย Nils Willbrandt ซึ่งเขาร่วมเขียนบทกับ Kim Zimmermann โดยเรื่องราวทั้งหมดดัดแปลงมาจากนวนิยายเรื่อง *Perfume: The Story of A Murder* ของนักเขียน Patrick Süskind

ภาพยนตร์เรื่องนี้จะบอกเล่าเรื่องราวของ Sunny (รับบทโดย Emilia Schule) ตำรวจสาวที่เพิ่งเคยมีความรักจริงๆ เป็นครั้งแรก เธอจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่กับแฟนหนุ่มของเธอ Juro (รับบทโดย Robert Finster) ซึ่งตัวของเธอได้เสียประสาทการดมกลิ่นไปตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เธอไม่ได้กลิ่นอะไรเลย ทว่าหลังจากเธอย้ายมาอยู่กับ Juro ได้ไม่นานจู่ๆ เธอก็ถูกเขาทิ้งเพราะเขาอยากกลับไปอาศัยอยู่กับลูก จากนั้นก็เกิดเหตุคดีฆาตกรรมหญิงสาวหลายรายขึ้น โดยเหยื่อทุกคนที่ถูกสังหารล้วนถูกตัดต่อมเหงื่อออกไป Sunny ตามสืบจนรู้ว่าแท้จริงแล้วฆาตกรคนนี้ได้นำต่อมเหงื่อไปเพื่อทำน้ำหอมแห่งความรัก จากนั้นเธอตามสืบจนเกือบจับตัวฆาตกรได้และได้เจอกับขวดน้ำหอมที่ Dorian (Ludwig Simon) ทิ้งไว้ ซึ่งมันเป็นน้ำหอมที่ทำให้ผู้ที่สูดดมเข้าเกิดอารมณ์ทางเพศ โดยแท้จริงแล้วมันคือผลงานที่ผิดพลาดเพราะ Dorain อยากทำน้ำหอมแห่งความรัก Sunny ที่เจอก็ได้แอบเก็บน้ำหอมนั้นไว้เพื่อหวังจะนำไปใช้เพื่อให้ Juro กลับมารักเธอ แต่หลังจาก Juro กลับมาได้ไม่นาน เธอก็ตั้งท้องลูกของเขา และเธออยากดมกลิ่นของลูก จึงตัดสินใจออกเดินทางตามหา Dorian เพื่อให้เขาสอนเธอให้สามารถกลับมาดมกลิ่นได้อีกครั้ง

[backdrop=4daucZ1P9tGsL8rkPbgdxS2dBSy]

สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ เปิดเรื่องมาได้ค่อนข้างดีและมีความน่าสนใจพอสมควร แต่พอดำเนินเรื่องไปได้ซักพักก็เริ่มจะจับจุดไม่ถูก สะเปะสะปะไปหมด ไม่รู้จะโฟกัสไปที่เรื่องอะไรกันแน่ การดำเนินเรื่องที่เดินไปอย่างช้าๆ ช้ามากๆ จนใครหลายคนอาจง่วงหนาวหาวนอนได้เลย ไม่สามารถดึงดูดผู้ชมหรือทำให้เราอยากรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากๆ เพราะบทลึกๆ แล้วถือว่ามีความน่าสนใจไม่น้อย เพียงแต่การนำเสนอนั้นทำได้ไม่ดีพอจนลดทอนส่วนอื่นๆ ไปจนหมด บทของเรื่องนี้มีดีตรงที่ได้เห็นมิติตัวละครว่าทำไมตัวละครนี้ถึงคิดแบบนี้ ทำแบบนี้ อย่างตัวละครคนทำน้ำหอมที่มีปมในอดีตฝังใจจนทำให้เขาเป็นพวกโรคจิต เขาถูกพ่อแม่และคนรอบตัวรังเกียจมาตั้งแต่เกิด เพราะตัวของเขามีกลิ่นเหม็นซึ่งเป็นกลิ่นที่ติดตัวมาแต่เกิด ทำให้เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะทำน้ำหอมและมีความฝันที่จะทำน้ำหอมแห่งความรัก เนื่องจากไม่เคยมีใครรักเขาเลยในชีวิต ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและเป็นแรงจูงใจที่พอฟังขึ้น

แต่ก็เป็นข้อดีเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น คือทั้งเรื่องชอบส่วนนี้มากที่สุดแล้ว ส่วนอื่นๆ ที่เหลือนี่ดึงดูดความสนใจได้น้อยจริงๆ อย่างการที่นางเอกไปขอความช่วยเหลือกับคนทำน้ำหอมให้สอนเธอดมกลิ่น อันนี้ก็ดูไม่สมเหตุสมผลเอามากๆ ทั้งที่ตัวเองเป็นตำรวจและรู้ว่าคนทำน้ำหอมเป็นคนโรคจิต แต่ก็ยังเชื่อใจแบบง่ายๆ อีกอย่างที่ดูไม่สมเหตุสมผลคือตัวละคร Rex (รับบทโดย Anne Muller) ผู้สมรู้ร่วมคิดของคนทำน้ำหอม เพราะมันแทบไม่มีเหตุผลหรือแรงจูงใจอะไรที่มากพอให้เธอมาทำแบบนี้ แถมยังเป็นตัวละครที่แทบจะไม่มีมิติอะไรนอกจากเรารู้แค่ว่าเธอไม่มีเพื่อนคบเหมือนกับ Dorian ก็เลยได้มาร่วมมือกันเพียงเพราะเธออยากได้น้ำหอมเหมือนกัน นอกจากนี้บทสรุปในตอนท้ายก็จบแบบไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เพราะนางเอกเลือกที่จะทำให้ Dorian สูญเสียการได้กลิ่นไป เขาจะได้เลิกอยากทำน้ำหอมเสียที แต่หนังก็ไม่ได้บอกท้ายที่สุดแล้วเขาถูกจับเข้าคุกไหม เพราะเขาฆ่าคนมามากมายก็ควรที่จะได้รับโทษ แต่หนังกลับตัดจบไปแบบดื้อๆ ให้เราคิดกันเอาเอง

[backdrop=raAnzfAAJ8nk21iTEker6SSY5kr]

แม้ว่าการดำเนินเรื่องและบทจะทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ยังดีที่การแสดงและเทนนิคการสร้างนั้นทำได้ดี นักแสดงหลักทุกคนแสดงได้ดีหมด โดยเฉพาะ Emilia Schule (นางเอก) ที่แทบจะแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ด้วยตัวคนเดียว อีกคนที่แสดงดีคือ Ludwig Simon (คนทำน้ำหอม) ที่สามารถถ่ายทำความโรคจิตออกมาได้ค่อนข้างสมจริง แม้อาจจะดูล้นไปบ้างในบางฉาก แต่รวมๆ คือทำได้ดี ฉากที่ผู้รีวิวชอบที่สุดก็คงจะเป็นตอนที่นางเอกกลับมาดมกลิ่นได้ครั้งแรก ฉากนี้ถือว่าทำได้ดีมากจริงๆ การแสดงของ Emilia แสดงได้เหมือนคนที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนจริงๆ เธอถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่ได้รับกลิ่นครั้งแรกออกมาได้จนผมเชื่อ ส่วนด้านเทคนิคงานสร้างก็ถือว่าทำได้ดีใช้เช่นกัน งานภาพสวยงาม โทนสีที่ใช้ก็เป็นโทนเย็น ซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศในเรื่องได้ดี และแน่นอนว่าช่วยทำให้ง่วงด้วย มันเป็นเหมือนกับดาบสองคม ซึ่งไม่ได้ผิดที่งานภาพนะแต่ผิดที่บทมากกว่าที่ไม่สามารถดึงดูดผู้ชมได้

สรุปโดยรวมคือเป็นหนังที่ไม่ค่อยมีแก่นสารอะไรมากมาย ไปไม่สุดซักทาง แถมสิ่งที่จะสื่อสารกับคนดูก็ยังไม่ชัดเจนและไม่แข็งแรงพอ ทั้งที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายซึ่งมีเนื้อหาให้เล่นและดัดแปลงค่อนข้างเยอะ แต่กลับทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ก่อนหน้านี้ภาพยนตร์เรื่อง *Perfume: The Story of a Murderer (2006)* ก็ดัดแปลงมาจากนวนิยายชุดนี้เหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่ามาจากหนังสือเล่มเดียวกันไหม ดังนั้น ใครที่ลังเลว่าจะดูเรื่องนี้ดีไหม ผมแนะนำว่าให้ไปดู *Perfume: The Story of a Murderer* น่าจะดีกว่า เพราะเรื่องนั้นทำได้ดีกว่าเยอะเลย แต่จะต่างกันตรงที่เรื่องนั้นจะเน้นไปที่ตัวของคนทำน้ำหอมมากกว่า อย่างไรก็ตาม รีวิวนี้เป็นเพียงความชอบและความรู้สึกส่วนตัว ซึ่งความชอบคนเราไม่เหมือนกัน ทางที่ดีอย่าเชื่อรีวิวนี้ทั้งหมด อยากให้ทุกคนไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเองมากกว่า สุดท้ายนี้สำหรับใครที่อยากดู *The Perfumier (2022)* สามารถไปรับชมได้พร้อมพากย์ไทยทาง Netflix
0 0
Scrooge: A Christmas Carol
*Scrooge: A Christmas Carol* ผลงานภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องล่าสุดจาก Netflix ซึ่งจะเป็นเรื่องราวที่สร้างมาจากเรื่อง *A Christmas Carol* ผลงานระดับตำนานของนักเขียน Charles Dickens ที่ตีพิมพ์ออกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1843 ด้วยความที่เป็นเรื่องราวที่มีอายุเกิน 100 ปี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเคยมีการหยิบนิทานเรื่องนี้มาทำเป็นภาพยนตร์แล้วหลายครั้ง มีมากมายหลายเรื่องหลายเวอร์ชันจนนับไม่ถ้วน แต่เวอร์ชันที่ผู้คนในยุคสมัยใหม่นี้จะจดจำกันได้มากที่สุดก็คงจะเป็นฉบับของผู้กำกับ Robert Zemeckis ที่ออกฉายในปี 2009 แต่สำหรับเวอร์ชันของ Netflix นี้นั้นจะมีความแตกต่างกันพอสมควร เนื่องจากเวอร์ชันนี้จะมีความเป็นการ์ตูนสำหรับเด็กมากกว่าและสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า เอาล่ะพูดร่ายยาวกันมามากพอแล้ว เราไปดูเรื่องย่อของภาพยนตร์เรื่องนี้กันก่อนดีกว่า

*Scrooge: A Christmas Carol* จะพาผู้ชมไปติดตามเรื่องราวของ Ebenezer Scrooge (พากย์เสียงโดย Luke Evans) ชายแก่ผู้ร่ำรวยที่แสนขี้งกและไม่เป็นมิตรกับผู้คน ชีวิตเขาสนใจแค่เพียงเรื่องเงินทองจนมองข้ามคนรอบข้างไปจนหมด เนื่องจากเขามีนิสัยใจร้อนแถมยังปากคอเราะร้าย ทำให้ทุกคนในเมืองต่างเกลียดชังเขา Scrooge มีปมอยู่หนึ่งอย่างคือเขาเกลียดวันคริสต์มาสเพราะว่าเขาเสียแม่และน้องสาวไปในวันคริสต์มาส จนกระทั่งคืนก่อนวันคริสต์มาส Scrooge ก็ได้พบเจอกับเหล่าวิญญาณปริศนาที่จะพาเขาย้อนไปดูอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งมันจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเขาไปตลอดกาล

[backdrop=wMNY6tU9WOUeAMRfqbCYwceOl9u]

อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องนี้เป็นการทำซ้ำเรื่องราวของ *A Chritmas Carol* ดังนั้นผมจึงต้องของบอกก่อนเลยว่าหหากคุณรู้เรื่องราวมาก่อนแล้วคุณก็อาจจะไม่สนุกหรือไม่เพลิดเพลินกับมัน เพราะในฉบับนี้เรื่องราวทุกอย่างก็ยังคงเหมือนกับเวอร์ชันก่อนๆ ที่ผ่านมา มีเพียงรายละเอียดส่วนเล็กๆ บางอย่างที่อาจจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่พล็อตหลักขอเรื่องและบทสรุปยังคงออกมาในรูปแบบเดิม ทว่ากลับกันหากคุณไม่รู้เรื่องราวมาก่อนเลยแม้แต่น้อย ผมคิดว่าคุณน่าจะสนุกไปกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ไม่ยาก ซึ่งส่วนตัวผมก็เคยดูเวอร์ชันอื่นมาบ้าง แต่ผมก็จำเรื่องราวไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ผมรู้สึกเพลิดเพลินไปกับมันและค่อนข้างชอบด้วย

หากนำฉบับนี้ไปเทียบกับของปี 2009 เราจะได้เห็นความแตกต่างที่ค่อนข้างชัดเจน เนื่องจาก *A Christmas Carol* ฉบับปี 2009 จะทำออกมาดูเป็นโทนผู้ใหญ่และมืดหม่นมากกว่า ซึ่งต่างจากฉบับนี้ที่ทำออกมาในโทนที่สดใสและมีความเป็นการ์ตูนมากขึ้น ดูเป็นหนังเด็กจริงๆ และผมค่อนข้างมั่นใจว่าหากเปิดให้เด็กๆ ดู รับรองว่าเด็กๆ จะต้องชอบมากแน่ๆ ทั้งบทที่ยังคงเหมือนต้นฉบับ พร้อมกับการดำเนินเรื่องที่รวดเร็ว กระชับ เข้าใจง่าย ขนาดผมเคยดูมาก่อนยังรู้สึกว่าตัวหนังเล่าเรื่องได้ดีและน่าติดตาม นอกจากนี้ข้อคิดที่เป็นเอกลักษณ์ของเรื่องนี้ก็ยังไม่ได้หายไป แถมยังถ่ายทอดออกมาได้น่าประทับใจอีกต่างหาก แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงของ Scrooge ในตอนจบมันอาจจะดูง่ายจนรู้สึกขัดใจ แต่ก็ต้องความเข้าใจว่านี่เป็นหนังสำหรับเด็ก และตัวหนังก็ไม่เหลือเวลาให้เล่าต่อแล้วด้วย ผมเลยสามารถปล่อยผ่านจุดนี้ไปได้

[backdrop=cZf0enZ6550zzt1iFhqBvRtDsTJ]

สิ่งที่อยากจะกล่าวชมและทำออกมาได้ดีเกินกว่าที่ผมคาดไว้คืองานสร้าง งานภาพที่ออกมามันสวยมาก งานละเอียดจริงๆ แม้ว่าจะยังไม่ได้ดีงามเท่ากับผลงานของ Disney แต่นี่ก็ดีพอและเป็นพัฒนาการที่ดีของ Netflix ต้องยอมรับว่าช่วงหลังเขาทำผลงานแอนิเมชันออกมาได้ดีขึ้นมากๆ อย่างเรื่องล่าสุดที่ผมค่อนข้างชอบก็คือ *The Sea Beast* ที่ทำงานภาพแอนิเมชันออกมาได้ดีมาก ใครที่ยังไม่ดูก็ลองไปหาดูกันได้ กลับมาที่เรื่องนี้กันต่อ ส่วนตัวผมรู้สึกประทับใจงานแอนิเมชันจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มันดีงามแค่ในบางฉากบางซีนเท่านั้น ในด้านของงานออกแบบก็ถือว่าทำออกมาได้ดีไม่แพ้กัน ทั้งฉากการย้อนอดีต ตัวละครผีที่โผล่มา เขาก็ทำออกมาให้เหมาะสำหรับเด็กมากขึ้นด้วยการทำให้ตัวผีดูเป็นการ์ตูนและออกน่ารักไปเลย ยกเว้นตัวสุดท้ายที่เป็นอนาคตที่มาในธีมมืดมิดมาเลย แต่ก็ยังมีความเป็นการ์ตูนอยู่ดี ส่วนตัวในด้านงานออกแบบผมชอบที่สุดคือช่วงผีตัวที่ 2 ที่พาไปดูปัจจุบัน ช่วงนั้นทั้งช่วงคือเป็นซีนที่ดีที่สุดของเรื่องแล้ว ทั้งงานออกแบบ ซีนดราม่าในนั้น ทุกอย่างออกมาสวยงามมากและน่าจดจำเอามาก

สรุปโดยรวมเลยก็คือ *Scrooge: A Christmas Carol* เรื่องนี้นั้นถือเป็นหนึ่งในภาพยนตร์แอนิเมชันของ Netflix ที่ทุกคนควรลองไปดู อาจจะไม่ได้สนุกจนไร้ที่ติ แต่ก็มีดีพอให้คุณไม่รู้สึกเสียดายเวลาที่ได้ดูไป การดำเนินเรื่องกระชับ รวดเร็ว เก็บรายละเอียดได้ดี งานออกแบบดี งานแอนิเมชันก็ดี แถมบทสรุปของเรื่องก็ยังให้ข้อคิดที่ดีอีกด้วย อย่างไรก็ตาม รีวิวนี้เป็นเพียงความความรู้สึกส่วนตัวของผม ดังนั้น อย่าเชื่อทั้งหมดที่ผมรีวิว เนื่องจากคนเรามีความชอบที่แตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดคือคุณต้องเปิดใจเข้าไปดูและตัดสินมันด้วยตาของตัวเอง สุดท้ายนี้ใครที่ดูเรื่องนี้มาแล้วก็สามารถคอมเมนต์พูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ด้านล่าง
0 0
Kingdom 2: Far and Away
KINGDOM 2: To The Far lands
หรือในชื่อไทยคือ "มหาสงครามกู้แผ่นดิน 2 มุ่งหน้าสู่ดินแดนอันไกลโพ้น" (ฟังชื่อแล้วไม่เข้ากับหนังเลย)
มันควรจะใช้ชื่อว่า "สงครามบันลังก์ผงาดจิ๋นซี 2 มุ่งสู่แดนไกล"
เป็นหนึ่งในภาพยนต์ฟอร์มยักษ์สุดๆเรื่องนึงของค่าย TOHO
ที่นำเอาเรื่องราวจากมังงะญี่ปุ่นที่ติดอันดับขายดีสุดๆ ซึ่งอิงจากประวัติศาสตร์จีนปลายยุครณรัฐ
แต่งและเขียนโดย อ.ยาสุฮิซะ ฮาระ
KINGDOM เป็นหนึ่งในหนังที่นับได้ว่ามีทั้งผู้ที่ชอบและไม่ชอบในบางจุดของตัวหนังที่แก้ไขผิดแปลกไปจากฉบับหนังสือการ์ตูน
เช่นเดียวกับหนังไตรภาค THE LORD OF THE RING ที่กำกับโดย ปีเตอร์ แจคสัน กับการแก้ไขเนื้อหาบางจุดให้ต่างไปจากฉบับนิยาย
เนื้อเรื่องว่าด้วยเรื่องการไต่เต้าเป็นยอดขุนศึก ของหลี่ซิ่น
และการผนวกจงหยวน (จีน) ของอิ๋งเจิ้ง ก่อนจะขึ้นเป็นฉินซื่อหวง ปฐมจักพรรดิ์แห่งฉิน หรือที่เรารู้จักในชื่อ จิ๋นซีฮ้องเต้
เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
KINGDOM 2 นั้นนับว่าทำออกมาได้ดีจากภาคที่แล้วมากขึ้น ด้วยความที่สเกลหนังนั้นเปลี่ยนไปจากภาคแรกแบบสิ้นเชิง
องค์ประกอบของหนังนั้นล่วนไม่มีอะไรให้ติเตียนเลย
แต่...
ปัญหามันเกิดขึ้นที่การแปลของค่ายที่นำมาฉายให้ชมในไทย
ซึ่งอันนี้ผมขอประจานกันไปเลย
คือ AppleTV และ TrueID (เจ้าเดิม)
จากใจเลยนะขอรับ ความรู้สึกของผมในฐานะแฟนการ์ตูนเรื่องนี้และได้มาดูฉบับแปลไทย ทั้งพากย์ไทยและซับไทยของภาค 1 และตัวล่าสุดภาคสองนี้เอง
ไอ้-ัส -ึงทำไปทำไทำไปเพื่ออะไร นี่ -ึงยังไม่เข็ดอีกหรา
ยอมรับบางประโยคเอ็งก็แปลมาดี แปลสวย แต่ก็ห่วยหมดและก็มีการแปลตกแปลขาดเยอะมาก แถมยังแปลได้โหลยโถ่ยมาก
หนักสุดก็เรื่องชื่อซึ่งทางช่อง Beartai เคยรีวิถึงข้อเสียใหญ่ๆในภาคแรก
มันก็ยังทำแบบเดียวกับภาคสอง ที่ไม่มีการพลิกแพลงเป็นชื่อจีนเลย ทับศัพท์ชื่อญี่ปุ่นแบบดื้อๆ
ในภาคสองมีเพียงชื่อแคว้นกับนครเสียนหยางเท่านั้นที่ยังแปลเป็นจีน แต่ชื่อตัวละคร -ึงก็ยังทำอีหรอบเดิม ไม่ต่างจากภาคแรก
เ-็งซื้อลิขสิทธิ์มาแล้วก็ทำให้มันดีๆหน่อยสิวะ กระผมหมดศรัทธากับการแปลของพวก-ึงจริงๆ เข้าใจว่าสิทธิ์ของคุณว่าจะแปลยังไงก็ได้ แต่ฐานลูกข้าส่วนใหญ่ทั้งจากคนที่อ่านมังงะ และคนที่ดูหนังเกี่ยวกับซีรี่ย์จีนเขาดูออก ว่าธีมเรื่องมันเป็นยังไง และควรใช้ชื่อยังไง
คือคุณแปลออกมาเหมือนคุณดูถูกคนดูอ่ะ
สำหรับตัวหนังเปิดให้รับชมแบบเช่าถูกลิขสิทธิ์กันแล้วนะครับ
ทาง TrueID เจ้าเก่า (-ึงอีกแล้วหรา) ในรูปแบบเช่า 99บ./เดือน
อีกช่องทางคือ AppleTV
แต่ทางที่ดีกระผมว่า เอาเงิน 99บ.นี้ เก็บไว้แล้ว ไปดูแบบเถื่อนยังจะดีซะกว่า
0 1
Luck
*Luck* ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องล่าสุดของ Apple TV+ ซึ่งผลิตภายใต้สตูดิโอ Skydance Animation บริษัทแอนิเมชันหน้าใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาในปี 2022 ก่อนหน้านี้มีผลงานภาพยนตร์แอนิเมชันออกมาแล้ว 1 เรื่อง ได้แก่ *Blush (2021)* และกำลังจะมีผลงานใหม่ที่กำลังจะมาอย่าง *Spellbound* ซึ่งมีกำหนดการเปิดตัวในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ โดยผลงานทุกเรื่องของสตูดิโอนี้ล้วนเปิดตัวทาง Apple TV+ ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นค่ายน้องใหม่ แต่ผลงานที่ออกมาของสตูดิโอนี้ก็ทำได้ดีไม่แพ้สตูดิโอชื่อดังอย่าง Pixar ผู้สร้างแฟรนไชส์ *Toy Story* และ Illumination ผู้สร้างแฟรนไชส์ *Minions*

*Luck* จะบอกเล่าเรื่องราวของ Sam Greenfield (พากย์เสียงโดย Eva Noblezada) หญิงสาวดวงซวยวัย 18 ปี ที่ทั้งชีวิตเจอแต่เรื่องโชคร้าย เธอเป็นเด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงเด็กมาตั้งแต่จำความได้ ทว่าในตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เธอไม่เคยถูกครอบครัวไหนมารับไปเลี้ยงเลย และเมื่อเธออายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ ทำให้เธอต้องออกจากศูนย์พักพิงและไปเริ่มชีวิตใหม่ด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าชีวิตของเธอก็ยังเป็นเช่นเดิม คือไม่ว่าจะหยิบจับหรือทำอะไรก็ผิดพลาดและเจอแต่โชคร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้ไปเจอแมวสีดำตัวหนึ่ง เธอได้ให้อาหารแมวตัวนั้น และเมื่อแมวเดินจากไปเธอก็พบกับเหรียญประหลาด เธอจึงเก็บเอาไว้และปรากฎว่าเหรียญนั้นคือเหรียญนำโชค ด้วยเหตุนี้เธอจึงหวังจะเอาเหรียญไปให้ Hazel (พากย์เสียงโดย Adelynn Spoon) เด็กสาวที่กำลังจะไปเจอกับครอบครัวอุปถัมภ์ Sam จึงอยากมอบเหรียญให้เธอเพื่อให้เธอโชคดี ทว่าเหรียญดันหายไปก่อน และเมื่อเธอตามหาเหรียญเธอก็ได้เจอกับแมวดำตัวนั้นอีกครั้ง ปรากฎว่าเหรียญนั้นเป็นของแมวตัวนี้ และแมวตัวนี้มีชื่อว่า Bob (พากย์เสียงโดย Simon Pegg) เขาเป็นแมวสำรวจเส้นทางที่ถูกส่งมาจากโลกแห่งโชค ซึ่งหากว่าแมวตัวนี้ทำเหรียญหายเขาก็จะถูกเนรเทศไปยังโลกแห่งโชคร้าย ทั้งคู่จึงตกลงร่วมมือกันเพื่อตามหาเหรียญที่หายไป เพราะ Sam ก็อยากใช้เหรียญนี้เพื่อช่วย Hazel เช่นกัน

[backdrop=pZk359P2Qz2cOFq7yr33nO1K3GT]

สำหรับภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องนี้ ส่วนตัวผู้รีวิวไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อมาก่อน แต่เห็นมีคนพูดถึงอยู่บ้างเล็กน้อย เมื่อได้อ่านพล็อตเรื่องรวมถึงเห็นงานภาพที่ออกก็เลยเริ่มรู้สึกสนใจ จึงไม่ได้ตัดสินใจอะไรยุ่งยากและกดเข้าไปดูแบบไม่คาดหวัง ปรากฎว่าแอนิเมชันเรื่องนี้นั้นมีดีไม่เบา และนับเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คอแอนิเมชันไม่ควรพลาด แอนิเมชันเรื่องนี้มีการจัดลำดับการเล่าเรื่องได้เป็นอย่างดี ใช้เวลาในการเปิดเรื่องไม่นานมากนักแต่ก็ทำให้เราได้เห็นทุกอย่างที่ครบถ้วน เริ่มด้วยการเปิดเรื่องให้เราเห็นความโชคร้ายของ Sam ที่ถึงแม้เธอจะโชคร้ายแต่เธอก็ไม่เคยย่อท้อกับชีวิตและยังคิดอยากช่วยเหลือคนอื่นเสมอ ซึ่งฉากความโชคร้ายของเธอก็ทำได้ดีจนเรียกเสียงหัวเราะได้พอสมควร พร้อมกับคำถามในหัวว่า "คนอะไรจะซวยขนาดนั้น?" จากนั้นเรื่องก็ปูต่อไปให้เราได้เห็นแมวสีดำนำโชคอย่าง Bob และใช้เวลาไม่นานมากก่อนจะพาผู้ชมเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการด้วยการเดินทางไปยังดินแดนแห่งโชค โลกที่ถูกแบ่งครึ่งเป็น โชคดี และ โชคร้าย จากนั้นทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างเข้มข้นและน่าตื่นตาตื่นใจ เรียกง่ายๆ ว่าน่าติดตามตลอดทั้งเรื่อง และสามารถดึงดูดผู้ชมไว้ได้อย่างอยู่หมัด

แต่น่าเสียดายที่การออกแบบโลกแห่งโชคของเรื่องนี้นั้นไม่ได้ออกมาอลังการพอจะทำให้ผู้ชมรู้สึกตราตรึงหรือกลายเป็นภาพจำได้ ต่างจาก *Monsters, Inc.* ในปี 2001 ที่ตอนได้ดูครั้งแรกแล้วก็กลายเป็นภาพจำของเด็กๆ ในยุคนั้นได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม แม้เรื่องนี้จะทำไม่ได้เท่า แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ดีและคุ้มค่าแก่การสละเวลา ซึ่งนอกจากการดำเนินเรื่องที่เข้มข้นและน่าติดตามแล้วนั้น แอนิเมชันเรื่องนี้ยังมีบทที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ด้วยการสะท้อนให้เห็นโรคแห่งโชคที่มีการแบ่งแยกอย่างชัดเจน เหล่าคนที่อยู่ในฝั่งโชคดีก็จะหวาดกลัวฝั่งโชคร้าย เพราะคิดว่าเป็นเหมือนคำสาป ทว่าในทางกลับกัน ฝั่งโชคร้ายกลับไม่ได้เกลียดฝั่งโชคดี และคิดอิจฉาด้วยซ้ำ เปรียบง่ายๆ ก็เหมือนการสะท้อนโลกแห่งความจริง ที่ฝั่งโชคดีเปรียบเสมือนเหล่าคนรวยที่อยู่ในสังคมชั้นสูง ส่วนฝั่งโชคร้ายก็เปรียบเสมือนเหล่าชนชั้นล่างของสังคมที่ทำงานสู้ชีวิตแต่ชีวิตก็สู้กลับเสมอ ประเด็นนี้นี่นับเป็นคอนเซปต์ง่ายๆ ที่น่าสนใจและสื่อความหมายได้ดี นอกจากสองฝั่งนี้แล้ว ยังมีนางเอกของเราอย่าง Sam เด็กสาวที่โชคร้ายเสมอมาไม่ว่าจะอยู่ในโลกแห่งความโชคดี ความโชคร้ายของเธอก็ยังคงเหมือนเดิม และที่ตลกร้ายกว่านั้นก็คือ เมื่อ Sam เดินทางมาถึงโลกแห่งโชคและได้รู้ว่า โชคของมนุษย์นั้นจะถูกสุ่มให้เขอทั้งโชคดีบ้างในบางคราและโชคร้ายบ้างในบางครั้ง แต่สำหรับ Sam ตลอดชีวิตของเธอในช่วง 18 ปีที่ผ่านมา เธอนั้นไม่เคยได้สัมผัสกับความโชคดีเลยซักครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังยอมรับมันและพยายามมองโลกในแง่ดีต่อไป

[backdrop=s3f2KiI5fSZndBjFyXevhCV7XPe]

ประเด็นที่ดูจะสอนใจเด็กๆ ได้ในเรื่องนี้ก็คือฝั่งโชคร้ายและตัวของ Sam นางเอกของเรื่องนี่แหละ เพราะทั้ง Sam และคนฝั่งโชคร้ายล้วนแต่ไม่เคยเจอเรื่องดีๆ แต่ทุกคนก็พยายามมองโลกในแง่ดีและใช้ชีวิตต่อไป อย่างในตอนท้ายที่คนฝั่งโชคร้ายได้บอกว่า พวกเขาพบเจอกับเรื่องเหล่านี้แต่เขาก็คิดว่ามันคงไม่เป็นเช่นเสมอไป หรือตัวของ Sam ที่แม้จะโชคร้ายขนาดไหนแต่ก็ยังทุ่มสุดตัวเพื่อหาทางช่วย Hazel เพื่อนรักของเธอ สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนคำสอนให้เราไม่ยอมแพ้กับอุปสรรคต่างๆ และให้เราได้เรียนรู้ว่าถ้าหากเรามุ่งมั่นและพยายามมากพอ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เมื่อพูดถึงเรื่องความพยายาม ประเด็นนี้ก็ถูกพูดถึงเหมือนกัน โดยเป็นคำพูดจากปากของ Bob ที่เคยบอกกับ Sam ว่า "อย่าพูดคำว่าพยายาม เพราะคนโชคดีไม่จำเป็นต้องพยายาม" ซึ่งพอดำเนินไปถึงท้ายเรื่องและเราได้เห็นว่าความพยายามของ Sam นั้นไม่ได้ไร้ความหมาย จึงเป็นเหมือนกันตอกย้ำว่าคำพูดที่ว่า "คนมีโชคไม่ต้องพยายาม" ถ้าหากเป็นในโลกแห่งความจริงก็เหมือนคำพูดของคนที่ยอมแพ้ให้กับโชคชะตา ที่เราก็ไม่รู้เลยว่าโชคชะตามันมีจริงหรือไม่

แต่บทของเรื่องนี้ยังคงตั้งคำถามกับผู้ชมต่อไปที่ประเด็นว่า ถ้าโลกนี้มีแต่โชคดีอย่างเดียวจะเป็นอย่างไร? ซึ่งในตอนแรก Sam ก็เห็นด้วยเอามากๆ เพราะตัวเธอเองก็เจอแต่เรื่องร้ายๆ มาตลอด จึงเข้าใจดีว่ามันรู้สึกอย่างไร แต่ก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าความโชคร้ายก็เป็นเหมือนบทเรียนที่สอนให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น และชีวิตมันก็ต้องมีทั้งหวานอมขมกลืนปะปนกันไปจึงจะเรียกว่าชีวิต สุดท้ายแอนิเมชันเรื่องนี้ก็จบลงด้วยการมีทั้งโชคดีและโชคร้ายเหมือนเดิม โดยส่วนตัวผู้รีวิวมองว่าจุดนี้เป็นข้อคิดที่ง่ายจนเด็กเข้าใจได้ และก็มีความหมายสำหรับผู้ใหญ่เช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเรื่องนี้จะมีการปูเรื่องที่น่าสนใจและบทที่ให้ข้อคิดแก่ผู้ชม แต่สิ่งที่ขาดไปของเรื่องนี้ก็คงจะเป็นความน่าจดจำและความประทับใจที่บิวท์อารมณ์คนดูไปได้ไม่สุดทาง ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากจริงๆ เนื่องจากความสัมพันธ์ของตัวเอกอย่าง Sam และ Bob ที่แม้ว่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีแต่ก็ยังไม่ถึงกับตราตรึงใจ จึงทำให้ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องนี้เป็นเพียงอีกหนึ่งเรื่องที่สนุกและมีข้อคิดแต่ก็ไม่ได้ถึงกับอยากกลับมาดูซ้ำ

[backdrop=uxOiha8oYFQYXVAMUQ2PEqNODzW]

พูดถึงเรื่องบทกันมานานแล้ว มาดูกันที่ส่วนเทคนิคการสร้างบ้างดีกว่า ในส่วนนี้นับว่าทำได้ดีใช้ได้เลยสำหรับสตูดิโอผู้สร้างหน้าใหม่อย่าง Skydance Animation ที่เรื่องนี้เพิ่งเป็นเรื่องที่ 2 ที่สตูดิโอผลิตออกมา ออกแบบตัวละครมาได้น่ารักและมีเอกลักษณ์ การเคลื่อนไหวของตัวละครก็ลื่นไหลไม่มีสะดุด แต่งานภาพก็ยังไม่ได้คมชัดและละเอียดยิบเหมือนกับงานของ Pixar ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือเรื่อง *Turning Red (2022)* ที่เพิ่งออกฉายไปเมื่อต้นปี สำหรับเรื่องนั้นคืองานภาพสวยมากๆ บางอย่างทำออกมาจนแทบจะเหมือนของจริง แต่สำหรับ *Luck* เรื่องนี้ก็นับว่าอยู่ในเกณฑ์ดีที่ควรค่าแก่การรับชม โดยอีกหนึ่งสิ่งที่น่าเสียดายก็คือการออกแบบโลกแห่งโชค เพราะตอนดูนี่ผู้รีวิวตื่นเต้นและอยากเห็นมากๆ ว่าโลกแห่งโชคจะหน้าตาเป็นอย่างไร คือจินตนาการไปไกลแล้วว่าจะเป็นประมาณไหน แต่พอได้เห็นในหนังปรากฎว่าทำได้ไม่ถึงเท่าที่จินตนาการไว้ โลกแห่งโชคของเรื่องนี้ยังดูเรียบง่ายเกินไปและไม่เกินความคาดหมาย เลยทำให้ไม่สามารถสร้างความประทับใจจนกลายป็นภาพติดตาได้ ส่วนในเรื่องอื่นๆ ทั้งด้านงานพากย์ที่นับว่าทำออกมาได้ดีเยี่ยม ส่วนเรื่องเพลงประกอบก็เพราะดี แต่ก็ไม่ได้ตราตรึงเช่นกัน ยังคงไม่เท่ากับฝั่ง Pixar ที่ทำเพลงประกอบออกมาได้ไร้ที่ติแทบทุกเรื่อง แต่ถึงอย่างนั้นนี่ก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี และอย่าลืมว่านี่เป็นผลงานของ Apple+ ที่เป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิง ดังนั้น หากนำไปเทียบในระดับเดียวกันก็คงต้องเทียบกับผลงานแอนิเมชันของ Netflix ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าของ Apple TV+ ยังมีดีกว่าพอสมควร สุดท้ายนี้ใครที่อ่านรีวิวมาถึงตรงนี้ก็ขอขอบคุณมากครับ และหากใครที่ดูเรื่องนี้มาแล้วคิดเห็นอย่างไรสามารถคอมเมนต์ไว้ด้านล่างได้เลย อย่างไรก็ตามทางที่ดีก็อยากให้ทุกคนได้ไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน *Luck* สามารถรับชมได้พร้อมพากย์ไทยทาง Apple TV+
0 0
Earwig and the Witch
ถ้าให้นึกชื่อค่ายหนังการ์ตูนสักค่ายที่ยังคงยึดมั่นในการทำแอนิเมชันแบบ 2 มิติแบบทุ่มเททั้งกายและใจ ในขณะที่ค่ายอื่น ๆ หันไปจับงาน 3 มิติกันเกือบหมดแล้ว หากเป็นสักเมื่อปี 2018 - 2019 คงบอกได้เต็มปากเต็มคำว่า Studio Ghibli ของญี่ปุ่นคือหนึ่งในนั้น

แต่ในปี 2020 Ghibli ก็ทำให้แฟน ๆ และคอหนังแอนิเมชันผงะไปตาม ๆ กัน ด้วยการเปิดตัวภาพยนตร์แอนิเมชัน 3 มิติเรื่องแรกของค่าย ชื่อว่า *Earwig and the Witch* หรือชื่อภาษาญี่ปุ่นคือ *アーヤと魔女* (อายะกับแม่มด) โดยมี Goro Miyazaki ลูกชายของ Hayao Miyazaki รับหน้าที่ผู้กำกับ

เรื่องนี้ดัดแปลงจากวรรณกรรมเยาวชนชื่อเดียวกัน *(2011)* ของ Diana Wynne Jones ผู้ล่วงลับ นับเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายที่คุณป้า Jones แต่งจบสมบูรณ์ (ถัดจากนั้นมีเรื่อง *The Islands of Chaldea (2014)* ที่แกแต่งค้างไว้แต่เสียไปก่อน คุณ Ursula Jones น้องสาวแกเลยมาแต่งต่อจนจบ) และเป็นงานเขียนของแกเรื่องที่ 2 ที่ Ghibli เอามาดัดแปลงเป็นหนังการ์ตูน ต่อจาก *Howl's Moving Castle (ฉบับนิยาย 1896, หนัง 2004)* อันโด่งดัง

เอียร์วิก ตัวเอกของเรื่อง เป็นเด็กที่ถูกทิ้งไว้ ณ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเป็นทารก วันหนึ่งมีหญิงร่างอ้วนกับชายตัวสูงโย่งท่าทางแปลก ๆ มารับอุปการะเธอ ตัวจริงของทั้งคู่คือ แม่มดชื่อ เบลลา ยากา และปีศาจชื่อ แมนเดรก สาเหตุที่นางแม่มดรับเธอมาอยู่ด้วยก็เพราะต้องการคนมาช่วยเตรียมส่วนผสมปรุงยากับทำงานบ้านจิปาถะ เพื่อที่จะได้รับออเดอร์ผลิตยาวิเศษจากลูกค้าได้มากขึ้น

[backdrop=we9Z96UWsadGlBS3uF3JjuE27Oq]

พอเอียร์วิกรู้ว่าแม่มด ปีศาจ และเวทมนตร์มีอยู่จริงก็ตื่นเต้นดีใจ รบเร้าให้เบลลา ยากา สอนเวทมนตร์ให้บ้าง แต่นางแม่มดไม่ยอม สั่งให้น้องทำงานลูกเดียว น้องเลยร่วมมือกับเจ้าแมวพูดได้ในบ้าน (ซึ่งโดนนางแม่มดโขกสับมาไม่น้อยเหมือนกัน) หาทางแก้เผ็ดนางแม่มดและกล่อมให้นางยอมสอนเวทมนตร์ให้จงได้

หนังสือเนื้อเรื่องเรียบง่ายมาก ตรงไปตรงมา ชัดเจนว่าป้า Jones แต่งไว้ให้เด็กเล็กอ่าน แต่นางก็แอบทิ้งเงื่อนงำปริศนาบางเรื่องไว้ เช่น ข้อความแปลกๆ ที่แนบมาพร้อมกับห่อผ้าของเอียร์วิกตอนเป็นทารก ชวนให้สงสัยได้ว่า แม่ของนางอาจเป็นแม่มดด้วย หลายคนเลยสันนิษฐานว่า ป้า Jones อาจตั้งใจเอาเรื่องของเอียร์วิกไปขยายเป็นภาคต่อหรือซีรีส์ แต่เผอิญแกเสียไปก่อน เลยเป็นปริศนาเล็กๆ น้อยๆ ให้แฟนงานเขียนของแกมโนกันต่อไป

[backdrop=wLe7oyFFLWDYE6PaopmMfi2Vq2M]

อย่างไรก็ดี ฉบับหนังการ์ตูนของ Ghibli ดูจะไม่ต้องการทิ้งเรื่องให้คลุมเครือ เพราะเปิดเผยตั้งแต่ต้นเรื่องเลยว่า แม่ของหนูน้อยเอียร์วิก (เวอร์ชันเสียงพากย์ญี่ปุ่นเปลี่ยนชื่อเป็น 'อายะ') เป็นแม่มดจริงๆ และกำลังโดนแม่มดคนอื่นตามล่า (ด้วยสาเหตุบางอย่างที่ทั้งหนังสือและหนังก็ไม่ได้เปิดเผย) เลยต้องพาลูกไปทิ้งไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อจะได้ไม่เป็นอันตรายไปด้วย

ทว่าฉบับหนังก็ล้ำไปอีกขั้น โดยสร้างภูมิหลังให้แม่ของเอียร์วิกเป็นเพื่อนเก่าของทั้งเบลลา ยากา และแมนเดรก สมัยยังหนุ่มยังสาวก็เคยทำวงดนตรีด้วยกัน โดยมีชื่อวงว่า 'Earwig' เรียกได้ว่า Ghibli พยายามเชื่อมโยงปมบางส่วนที่ป้า Jones ทิ้งไว้ในเรื่องต้นฉบับ ให้เป็นเรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิต เสริมความ Epic เข้าไปหน่อยนึง

[backdrop=kVpJaz9MLKXetyjYOuqqvzg0dnq]

แต่ถึงอย่างนั้น หนังเรื่องนี้ก็ยังด้อยกว่าเรื่องที่ผ่านๆ มาของค่าย Ghibli ตั้งแต่เนื้อเรื่องที่ไม่เห็นพัฒนาการของตัวละครเลย เอียร์วิกเปิดตัวมาเป็นเด็กฉลาดและกะล่อน รู้วิธีโน้มน้าวและเอาอกเอาใจคนอื่นๆ เพื่อให้พวกเขาทำในสิ่งที่เธอต้องการ พอเรื่องเดินมาถึงตอนจบ นางก็ยังเป็นเด็กกะล่อนคนเดิม ไม่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติม รวมถึงไม่ได้ค้นหาหรือรับรู้ความจริงเกี่ยวกับชาติกำเนิดตัวเองด้วย กลับกัน เรื่องเหล่านั้นเหมือนทยอยเข้ามาเปิดตัวให้เธอได้รู้เองมากกว่า

อันที่จริง ต้องบอกว่านางสมเป็นตัวละครของ Diana Wynne Jones เพราะงานส่วนใหญ่ของแกก็ชอบสร้างตัวละครเอกที่ทั้งฉลาดและกะล่อน แถมยังชอบกวนประสาทชาวบ้าน (คาดว่าน่าจะมาจากนิสัยจริงๆ ของคุณป้าเอง) แม้กระทั่งโซฟีและพ่อมดฮาวล์จากเรื่อง *Howl's Moving Castle* ก็ชอบกวนประสาททั้งชาวบ้านและกันและกัน เพียงแต่ตอนเอามาทำเป็นหนังการ์ตูน คุณ Hayao Miyazaki แกเปลี่ยนนิสัยทั้งคู่ให้กวนน้อยลง น่ารักมากขึ้น แล้วก็เพิ่มความอลังการและล้ำลึกให้เนื้อเรื่อง ในขณะที่ Goro เอานิสัยของเอียร์วิกจากต้นฉบับมาใส่ในหนังทั้งดุ้น

[backdrop=fAD8bhHc6nFrYo1hMDY2giybEYG]

อีกจุดที่ทำให้หนังดูแปลกๆ พิพักพิพ่วน คือโมเดล 3 มิติของตัวละคร ถึงแม้ดูปั๊บจะมองเห็นลายเส้นที่คุ้นเคยและเป็นเอกลักษณ์ของตัวละครในหนังการ์ตูน Ghibli แต่พอมาถ่ายทอดเป็น 3 มิติกลับทำให้ดูปลอมและไร้ชีวิตชีวาแบบแปลกๆ เหมือนเอาฟิกเกอร์หรือเนนโดรอยด์ที่ถอดหัวเปลี่ยนสีหน้าได้มาถ่ายทำแบบ Stop motion แต่ก็ยังดูไม่มีชีวิตเท่าตัวละครที่ถ่ายทำแบบ Stop motion จริงๆ อย่าง *Coraline (2009)* หรือ *Kubo and the Two Strings (2016)* อยู่ดี (มิพักต้องไปเปรียบเทียบกับตัวละครแอนิเมชันเพียวๆ ของ Pixar)

ทั้งนี้ใช่ว่าเรื่องนี้จะไม่มีส่วนดีเลย เพราะอย่างน้อยมันก็เพิ่มเติมความน่ารักและอบอุ่นแบบครอบครัวระหว่างเอียร์วิก เบลลา ยากา และแมนเดรก ในขณะที่เรื่องต้นฉบับของป้า Jones พูดถึงแค่ความกะล่อนแก่นแก้วของนังหนูเอียร์วิก ฉบับหนังของ Miyazaki ใส่แง่มุมเรื่องครอบครัวเข้าไปด้วย แม้จะแค่จางๆ ก็ตาม

[backdrop=cy2hQMgFuabf2VVUakJKKGumkX4]

ผู้กำกับ Goro Miyazaki เป็นคนค่อนข้างน่าสงสาร เติบโตในวงการหนังแอนิเมชันใต้เงาของพ่อมาโดยตลอด หนังที่ได้กำกับเองเรื่องแรกอย่าง *Tales from Earthsea (2006)* ก็โดนถล่มเละ หลังจากนั้นก็ได้โอกาสกู้หน้ากับผลงานอีก 2 ชิ้น จนกระทั่งมาถึง *Earwig and the Witch* ซึ่งเป็นหนังการ์ตูน 3D เรื่องแรกของค่ายที่โดดเด่นในการทำการ์ตูน 2D มาตลอด ทำให้ต้องตั้งทีมงานและวางแนวทางการดำเนินงานใหม่เกือบหมด อีกทั้งเรื่องต้นฉบับที่หยิบมาดัดแปลงก็ไม่ได้มีแก่นสารหรือความโดดเด่นอะไร นอกจากเป็นงานชิ้นสุดท้ายของคนเขียน *Howl's Moving Castle* เรียกได้ว่าเสียเปรียบทุกทางแต่ต้น

แต่ถ้าไม่เริ่มต้นเลย ก็คงไม่มีทางรู้ได้ว่า ต่อไปจะไปได้ไกลถึงไหน

ต่างจาก *Earwig and the Witch* ฉบับงานเขียน ที่ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะคนเขียนตายไปเสียก่อน

ปัจจุบัน *Earwig and the Witch* ยังคงมีให้รับชมทาง Netflix พร้อมชื่อภาษาไทยว่า *มหัศจรรย์แม่มดอาย่า*

[backdrop=qMxpGzmmnY1jLd4p7EhhoW43wWF]
0 0

ก่อนหน้า

ถัดไป

ฟิล์มแนะนำให้รีวิว

Slow Horses
Beetlejuice
Shōgun
Game of Thrones
Joker: Folie à Deux
Only Murders in the Building
Deadpool & Wolverine
Civil War
The Bear
From
Breaking Bad
The Fall Guy