รีวิวภาพรวม The Witcher: Blood Origin เกิดอะไรขึ้นเมื่อ 1,200 ปีก่อนมนุษย์จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เอลฟ์และสร้าง Witcher คนแรก

หมายเหตุ: บทความนี้เป็นการแนะนำภาพรวมของซีรีส์นี้ก่อนฉายจริง สำหรับการรีวิวอย่างตรงไปตรงมาหลังจากรับชมจบทุกตอนแล้ว ขอเชิญที่ลิงก์นี้ครับ => shorturl.at/aJNV4

ในขณะที่ซีรีส์ The Witcher ทาง Netflix กำลังโดนรุมสกรัมโดยกระแสต่อต้านของเหล่าแฟนเดนตายของเกมและนวนิยายต้นฉบับต่อกรณีที่ทีมเขียนบทซีรีส์รังสรรค์บทอย่างไม่เคารพต้นฉบับ จนเป็นสาเหตุหลักให้ Henry Cavill (ซึ่งเป็นแฟนตัวยงของเรื่องต้นฉบับอีกคน) ถอนตัวจากบทพระเอกประจำเรื่องอย่างเกรอลต์แห่งริเวียตั้งแต่ซีซัน 4 เป็นต้นไป Lauren Hissrich ผู้จัดซีรีส์ถึงกับต้องเอ่ยปากขอร้องแฟนๆ ให้ช่วยดูมินิซีรีส์ภาคแยก The Witcher: Blood Origin ที่จะฉายวันคริสต์มาสนี้ เพื่อต่อลมหายใจให้ซีรีส์ภาคหลัก ก่อนจะตัดสินใจว่าควรดูตามที่นางขอดีหรือไม่ เราไปทำความรู้จักมินิซีรีส์ดังกล่าวกันดีกว่าครับ

backdrop-0

ก่อนอื่น ขออนุญาตให้ข้อมูลเบื้องต้นสำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักแฟรนไชส์ The Witcher มาก่อน รวมทั้งขอทบทวนความจำสำหรับคนที่รู้จักแล้ว เดิมทีมหาทวีป (The Continent สะกดด้วย C ตัวใหญ่) อันเป็นฉากหลักของเกม นิยาย และซีรีส์ ปกครองโดยเผ่าเอลฟ์ที่สร้างอารยธรรมอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า ‘Conjuction of the Spheres’ หรือการรวมตัวกันของจักรวาลต่างๆ จนเป็นเหตุให้มนุษย์และอสุรกายอื่นๆ โผล่เข้ามาในมหาทวีป ต่อมามนุษย์เรียนรู้วิธีควบคุม ‘ความโกลาหล’ (Chaos) หรือระบบเวทมนตร์ของโลกในเรื่อง และใช้เป็นอาวุธกวาดล้างเผ่าพันธุ์เอลฟ์จนเกือบหมด เอลฟ์ที่เหลือรอดถูกจับเป็นทาสไม่ก็ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ จากนั้นมนุษย์ก็สร้างมนุษย์สายพันธุ์พิเศษเพื่อเอาไว้รับมือกับอสูรที่เพ่นพ่านไปทั่วมหาทวีป ซึ่งก็กลายมาเป็นเหล่าวิทเชอร์อย่างเกรอลต์นั่นเอง

The Witcher: Blood Origin หรือชื่อไทยว่า เดอะ วิทเชอร์ นักล่าจอมอสูร: ปฐมบทเลือด ย้อนไปไกลกว่านั้น คือเป็นเรื่องราวเมื่อ 1,200 ปีก่อนเกิด Conjuction of the Spheres ซึ่งเป็นยุคทองของเผ่าพันธุ์เอลฟ์บนแผ่นดินแห่งมหาทวีป แต่ในช่วงดังกล่าวก็ไม่ใช่ยุคสมัยแห่งสันติภาพ มีความขัดแย้ง สงคราม การฆ่าฟัน และการกระทำบางอย่างซึ่งก่อให้เกิดรอยแยกระหว่างมิติจนมีอสุรกายจากต่างโลกปรากฏตัว จากนั้นก็มีเอลฟ์กลุ่มหนึ่งหาทางจับอสุรกายเหล่านั้นมาใช้เป็นอาวุธ ตามด้วยเอลฟ์อีกกลุ่มที่หาทางดึงพลังจากอสุรกายมาใช้เพื่อสู้ตอบโต้กลุ่มแรก ซึ่งก็น่าจะเป็นต้นแบบของวิทเชอร์ในยุคหลัง อย่างไรก็ตาม ชื่อภาคแอบบอกใบ้อยู่กลายๆ ว่าท้ายที่สุดเรื่องราวน่าจะจบไม่สวย ซึ่งดูจากบริบทแล้วก็ทำให้พอคาดเดาได้ว่า การยุ่งเกี่ยวกับรอยแยกระหว่างมิติในซีรีส์นี้จะกลายเป็นชนวนเหตุให้เกิด Conjuction of the Spheres ซึ่งนำพามนุษย์มาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เอลฟ์ในที่สุด

จากคลิปตัวอย่างอย่างเป็นทางการและข้อมูลเท่าที่มีเปิดเผยตามสื่อสาธารณะขณะนี้ ตัวละครเอกประจำซีรีส์คือกลุ่มของเอลฟ์และคนแคระรวม 7 คนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนนอกสังคม ได้แก่

  • Eile (รับบทโดย Sophia Brown) นักรบผู้ผันตัวมาเป็นวณิพกพเนจรเพื่อลบล้างความผิดในอดีต
  • Scian (รับบทโดย Michelle Yeoh) เอลฟ์นักดาบผู้เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายของเผ่า
  • Fjall (รับบทโดย Laurence O’Fuarain) อดีตราชองครักษ์ผู้โดนเนรเทศเนื่องจากมีรักต้องห้ามกับคนในราชสำนัก
  • Meldof (รับบทโดย Francesca Mills) สาวคนแคระผู้ใช้ค้อนอันใหญ่เป็นอาวุธ
  • Brother Death (รับบทโดย Huw Novelli) นักรบลึกลับ
  • สองนักเวท Syndril (รับบทโดย Zach Wyatt) และ Zacare (รับบทโดย Lizzi Annis)

backdrop-1

ทั้ง 7 คนออกเดินทางจากต่างที่ต่างถิ่นและมีจุดประสงค์การเดินทางต่างกัน แต่โชคชะตาก็พาให้มาเจอกันและร่วมหาทางบรรลุเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการโค่นล้ม Balor (รับบทโดย Lenny Henry) หัวหน้าดรูอิดผู้มีชาติกำเนิดต้อยต่ำทว่ามักใหญ่ใฝ่สูงและทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่มุ่งหวัง

The Witcher Blood Origin_Balor

นอกจากนั้นยังมีนักแสดงรับเชิญอย่าง Joey Batey กลับมารับบท Jaskier หรือกวีจอมกะล่อน Dendelion ในเวอร์ชันนวนิยายและเกม เนื่องจาก Jaskier เป็นมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในยุคพันกว่าปีให้หลังเหตุการณ์ในซีรีส์นี้ ดังนั้นเป็นไปได้ว่าตัวละครนี้อาจเป็นผู้นำเรื่องราวในอดีตอันไกลโพ้นมาบอกเล่าต่อ ซึ่งในตัวอย่างจาก Netflix ก็มีฉากที่ดูเหมือน Jaskier กำลังจะได้รับฟังเรื่องนี้จากเอลฟ์คนหนึ่ง

The Witcher Blood Origin_Jaskier

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ซีรีส์ The Witcher ฉบับ Netflix โดนโจมตีตั้งแต่ซีซันแรกคือ การแคสต์นักแสดงที่มีความแตกต่างหลากหลาย (Diversity) ทางเชื้อชาติและสีผิวจนทำให้ตัวละครบางตัวมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างจากในเรื่องต้นฉบับไปไกลลิบ รายชื่อและภาพนักแสดงเท่าที่มีการเปิดเผยมาสำหรับภาค Blood Origin เองก็แสดงให้เห็นว่าทีมผู้สร้างมินิซีรีส์นี้ให้ความสำคัญเรื่องความแตกต่างหลากหลายไม่แพ้กัน อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เนื้อเรื่องในซีรีส์นี้เป็นเหตุการณ์ในอดีตกาลนมนานกาเลที่ยังไม่เคยมีการขยายความอย่างละเอียดไม่ว่าจะในชุดนวนิยายต้นฉบับโดย Andrzej Sapkowski หรือเกมภาคใดๆ โดยเครือ CD Projekt จึงพอกล้อมแกล้มไปได้ว่าเอลฟ์ในสมัยพันกว่าปีก่อนของมหาทวีปอาจเหมือนมนุษย์บนโลกเราที่มีหลายเชื้อชาติ การจะมีเอลฟ์ผิวดำอย่าง Brown หรือ Henry และเอลฟ์เอเชียอย่าง Yeoh จึงไม่แปลกอะไร

backdrop-2

แก่นเรื่องของ The Witcher คือโชคชะตาเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยง และการได้รับรู้แต่เนิ่นๆ ว่าท้ายที่สุดเรื่องราวในภาค Blood Origin จะนำไปสู่จุดจบอันโชกเลือดของเผ่าพันธุ์ที่เป็นตัวละครหลักในเรื่อง เป็นความคิดที่ชวนหดหู่ไม่น้อย แต่ก็อย่างที่หลายคนพูดกันว่า บางครั้งจุดหมายปลายทางก็ไม่สำคัญเท่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ก็ต้องรอดูกันครับว่าทั้ง 4 ตอนของมินิซีรีส์เรื่องนี้จะนำเสนออะไรมาหันเหความสนใจผู้ชมไปจากการตระหนักถึงโศกนาฏกรรมอันหดหู่ตามไทม์ไลน์ของซีรีส์หลักได้บ้าง

The Witcher: Blood Origin มีกำหนดฉายพร้อมกันทั่วโลกทาง Netflix ในวันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคมนี้ หลังจากดูจบแล้ว ไว้มารีวิวฉลองคริสต์มาสและเทศกาลส่งท้ายปีเก่าไปด้วยกันครับ

backdrop-3

avatar
รีวิวโดย PoomNamvol
นักอักษรศาสตร์มือรองบ่อน ผู้สนุกกับการรีวิวสื่อบันเทิงประเภทต่าง ๆ ด้วยไพ่ทาโรต์ในเพจ Facebook: ไพ่เราเผาเรื่อง
0 0
poster

The Witcher: Blood Origin

เดอะ วิทเชอร์ นักล่าจอมอสูร: ปฐมบทเลือด

ข้อมูลซีรีส์

แอ็กชันแอดเวนเจอร์|ไซไฟแฟนตาซี|

ซึ่งเป็นเรื่องราวในโลกของเผ่าพันธุ์เอลฟ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 1,200 ปีก่อนยุคสมัยของเกรอลท์แห่งริเวีย

ฉายตอนแรกเมื่อ Dec 25, 2022

ภาษาต้นฉบับ

อังกฤษ

เรต

TV-MA

ซีซันและตอน

1 ซีซัน 4 ตอน

TMDB

6.8

Rotten Tomatoes

rotten tomatoes 30%
rotten tomatoes 13%

ตัวอย่างซีรีส์

trailer
trailer
trailer

นักแสดง

profile

Sophia Brown

Éile / The Lark

profile

Lenny Henry

Chief Sage Balor

แสดงเพิ่มเติม

0 ความคิดเห็น

คุณต้อง สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ ก่อน เพื่อที่จะสามารถแสดงความคิดเห็นได้