วันพ่อที่เพิ่งผ่านไป กับฉากที่แข็งแกร่งที่สุดของภาพยนตร์ 'Call Me By Your Name' ที่เป็นฉากการยอมรับในตัวตนของลูกจากคนเป็นพ่อ
การแสดงของ Michael Stuhlbarg ในภาพยนตร์ Call Me By Your Name คือตัวอย่างของการยอมรับในตัวตนของลูกของคนเป็นพ่อที่เป็นการยอมรับอย่างแท้จริง
ภาพยนตร์ Call Me By Your Name (2017) เป็นภาพยนตร์ก้าวข้ามวัยของเด็กหนุ่ม LGBT ที่น่าจดจำที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และเป็นภาพยนตร์ที่น่าดูที่สุดในเดือนแห่งความเท่าเทียมทางเพศนี้ โดยในภาพยนตร์เรื่องนี้ Michael Stuhlbarg ก็ได้ฝากฝีมือการแสดงอันน่าทึ่งเอาไว้ในฐานะ Mr. Perlman พ่อของตัวเอกอีกด้วย การแสดงของเขาในฐานะพ่อที่ลูกของตัวเองเพิ่งค้นพบอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเองนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาพยนตร์ Call Me By Your Name เป็นภาพยนตร์ที่เหมาะจะเลือกดูในเดือนของวันพ่อ (ของอเมริกา) และความเท่าเทียมทางเพศที่สุด เพราะบทของ Mr. Perlman เป็นตัวอย่างที่ดีในการแสดงออกถึงการยอมรับในตัวตนของลูกอย่างแท้จริงของคนเป็นพ่อ โดยเฉพาะเมื่อเรื่องราวถูกเล่าย้อนกลับไปในเมืองชนบทของประเทศอิตาลีในช่วงปี 1980
ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเล่าเรื่องของตัวเอกของเรื่องอย่าง Elio Perlman ที่แสดงโดย Timothée Chalamet เด็กชายเชื้อสายยิวที่ไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวในหมู่บ้านทางตอนเหนือของประเทศอิตาลีในช่วงหน้าร้อน Mr. Perlman เลือกจะไปที่นั่นเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความรู้ทางด้านโบราณคดีของเขา ซึ่งเขาก็ได้เชิญ Oliver นักศึกษาปริญญาโทที่รับบทโดย Armie Hammer มาพักร้อนอยู่กับครอบครัวของเขาที่บ้านพักในช่วงฤดูร้อนเพื่อจะให้ Oliver มาช่วยในการค้นคว้าของเขา ด้วยเหตุนี้ Elio และ Oliver จึงได้เริ่มทำความรู้จักและค้นพบตัวตนของตัวเองท่ามกลางช่วงเวลาที่สุดแสนโรแมนติกในช่วงหน้าร้อนของอิตาลี
ตลอดทั้งช่วงแรกของภาพยนตร์ Elio กับ Oliver ต่างก็ไม่ชอบหน้ากันและกัน ทั้งวาจาที่เชือดเฉือนในทุกฉากที่และแววตาที่จ้องกันและกันเขม็งของพวกเขาทั้งคู่ทำให้ทั้งสองคนไม่สนใจในตัวของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ซึ่งการกระทำเหล่านี้ดูน่าจะเป็นการกระทำของบุรุษที่อยากเอาชนะสตรีแบบในประวัติศาสตร์สมัยก่อนเสียมากกว่า ที่ต่างฝ่ายต่างทำเป็นไม่สนใจอีกคน แต่จริงๆ แล้วพวกเขากลับสนใจในตัวอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก ในขณะที่แรงดึงดูดระหว่างพวกเขาทั้งสองคนเริ่มชัดเจนขึ้นจนผู้ชมอย่างเราก็ยังสัมผัสได้ เขาทั้งสองคนก็ยังคงเลือกที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองเอาไว้และใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป เนื่องจากช่วงเวลาในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้การที่พวกเขาจะแสดงความรู้สึกที่มีต่อกันและกันออกมาจะดูแปลกมากกว่าการเก็บซ่อนมันเอาไว้ แต่ที่จริงแล้ว ทั้งพ่อและแม่ของ Elio นั้นพยายามบอกเขาเป็นนัยๆ ตลอดทั้งเรื่องว่าพวกเขารู้ถึงความสัมพันธ์และแรงดึงดูดที่ Elio และ Oliver มีต่อกันมาโดยตลอด ทั้งจากการสนับสนุนให้ทั้งสองคนได้ใช้เวลาด้วยกันและสัญญาณอื่นๆ ที่เป็นการแสดงถึงการให้ความสนับสนุนของพ่อ Elio ทุกอย่างแสดงออกมาอย่างชัดเจนในฉากการพูดคุยระหว่าง Mr. Perlman และลูกชายเพียงคนเดียวของเขา ซึ่งบทพูดในฉากนั้นก็ช่างบีบคั้นหัวใจผู้ชมอย่างเราเสียเหลือเกิน โดยฉากนั้นแสดงให้เราเห็นว่า Mr. Perlman นั้นต้องการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้ลูกชายของเขารู้สึกว่าตัวเองได้รับการยอมรับและความรัก ไม่ว่า Elio จะมีคนรักเป็นเพศไหนก็ตาม
ตลอดทั้งภาพยนตร์ เราจะได้เห็น Mr. Perlman ให้กำลังใจ Elio อยู่ตลอด ในตอนที่ Elio พยายามทำให้ Oliver หึงด้วยการบอกให้ Oliver รู้ว่าเขานั้นเกือบจะมีความสัมผัสที่ลึกซึ้งกับ Marzia (รับบทโดย Esther Garrel) แต่คำตอบเดียวที่ Elio ได้รับนั้นมาจากพ่อของเขาที่กำลังฟังอยู่เช่นกัน โดย Mr. Perlman ได้พูดเพียงแค่ว่า “แล้วทำไมลูกถึงไม่ทำล่ะ?” เพียงแค่นี้ผู้ชมก็พอจะทราบกันแล้วว่าหากเป็นเรื่องเพศสัมพันธ์หรือเรื่องเพศโดยทั่วไป Elio สามารถพูดเรื่องพวกนี้กับพ่อของเขาได้อย่างเปิดเผย แตกต่างจากความสัมพันธ์พ่อ-ลูกชายของครอบครัวอื่นในยุคนั้น และถึงแม้ว่า Elio จะยังคงไม่ยอมแพ้ แต่ Mr. Perlman ก็ดูเหมือนจะเข้าใจดีว่าจริงๆ แล้ว Elio ก็แค่ต้องการเรียกร้องความสนใจจาก Oliver เท่านั้น และเพื่อลูกชาย Mr. Perlman ก็ให้ Elio ไปกับเขาในการขุดค้นทางทะเลในวันนั้น โดย Mr. Perlman พยายามที่จะแสดงให้เห็นว่าเขาสบายใจและเต็มใจที่จะสนับสนุนความรักของ Elio อย่างเต็มที่
อีกหนึ่งฉากที่ทำให้ความรักในฐานะพ่อของ Mr. Perlman ก็คือในฉากที่แม่ของ Elio กำลังอ่านเรื่องราวความรักโรแมนติกในช่วงยุคแรกของฝรั่งเศสในเวอร์ชันภาษาเยอรมันให้ Elio ฟัง โดยเรื่องราวที่แม่ของ Elio อ่านนั้นจบลงด้วยฉากที่อัศวินถามเจ้าหญิงของเขาว่า “พูดหรือตาย อะไรดีกว่ากันงั้นหรือ?” และหลังจากนั้น Elio ก็ได้รำพันออกมาว่า เขาคงไม่มีวันกล้าพูดแบบตรงไปตรงมากับคนที่เขารักได้แบบที่อัศวินกล่าวกับเจ้าหญิงของเขาแน่นอน และ Mr. Perlman ก็ได้ตอบกลับคำพูดของลูกชายด้วยคำพูดที่ไปในเชิงให้กำลังใจและให้ Elio ได้รับรู้ว่าเขาสามารถบอกให้พ่อและแม่รับรู้ได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเขาได้ตลอดเวลา โดยหลังจากฉากนี้ Elio และ Oliver ก็ได้ขี่จักรยานเข้าไปในเมือง และ Elio ก็เริ่มที่จะเปิดใจยอมรับความรู้สึกของเขาที่เขามีต่อ Oliver ให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ซึ่งมาถึงตรงนี้ ผู้ชมก็จะสามารถรับรู้ได้ถึงเส้นสัมพันธ์ที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาระหว่างการสนับสนุนจากพ่อของเขาที่มีผลต่อการยอมรับความรู้สึกของตัวเองของ Elio โดยตรง
ในระหว่างที่ความรักของ Elio และ Oliver ได้ดำเนินไปตลอดหน้าร้อน ช่วงเวลาสำคัญอีกช่วงเวลาหนึ่งระหว่าง Elio และพ่อของเขาก็คือในตอนที่ Mr. Perlman เชิญเพื่อนของเขาที่เป็นคู่รักชาย-ชายอย่าง Mounir และ Isaac ที่แสดงโดย André Aciman และ Peter Spears (ผู้เขียนนวนิยายเรื่อง Call Me By Your Name ที่เป็นต้นฉบับของภาพยนตร์และโปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์) ให้มาร่วมทานอาหารเย็นที่บ้าน และก่อนที่จะถึงช่วงเวลาทานอาหารเย็น Elio และ Oliver ก็ได้มีปากเสียงกัน ทำให้ Elio เลือกที่จะไปออกเดทและมี Sex กับ Marzia อยู่พักใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น Elio ยังดูถูกแขกทั้งสองคนลับหลังพวกเขาอีกด้วย ในงานเลี้ยงอาหารเย็น พ่อของ Elio ได้มองดูเขาอยู่ตลอด และหลังจากที่ประตูถูกปิดลง เขาก็ไม่ลังเลที่จะเข้ามาสอน Elio โดยพ่อของ Elio ได้บอกกับเขาว่า “ที่ลูกไม่ให้เกียรติแขกของเราเป็นเพราะพวกเขากล้าเปิดเผยว่าพวกเขารักกันและกันงั้นเหรอ?” และ Mr. Perlman ก็ได้บอกให้ Elio หยุดพฤติกรรมแบบนี้ในขณะที่ต่อหน้าทำตัวเป็นมิตรกับพวกเขาได้แล้ว โดยบทสนทนาโต้ตอบเพียงสั้นๆ นี้ก็สามารถแสดงธีมของภาพยนตร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะสำหรับ Mr. Perlman แล้ว เขาเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเราไม่ควรแสดงความรักต่อใครซักคนโดยที่เราไม่ได้ยอมรับในตัวตนของเขาจริงๆ นี่เป็นตอนที่เขาได้แสดงให้ Elio ได้รู้ว่าความรักที่พ่อมีต่อเขานั้นไม่ใช่เพียงแค่การแสดงออกภายนอกเท่านั้น แต่เป็นการยอมรับและการสนับสนุนในตัวของ Elio อย่างเต็มที่ ไม่ว่าเขาจะเป็นแบบไหนหรือเป็นใครก็ตาม และการแสดงออกถึงการยอมรับและให้การสนับสนุนจากพ่อนี้เองที่ทำให้ Elio พบความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นอีกครั้ง Elio กลับมามีชีวิตชีวาในฐานะเจ้าบ้านของงานปาร์ตี้อีกครั้ง และคืนนั้นก็เป็นคืนแรกที่เขาได้ใช้เวลาทั้งคืนไปกับ Oliver อีกด้วย
ต่อมา Mr. Perlman ก็ได้แสดงให้เราเห็นอีกครั้งว่าการยอมรับจากพ่อแม่นั้นสามารถช่วยให้คนหนุ่มสาวค้นพบตัวตนของตัวเองได้มากขนาดไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่รู้ว่าตัวเองนั้นรักเพศเดียวกันในช่วงที่เรื่องพวกนี้นั้นยังไม่ได้รับการยอมรับ โดยในตอนนั้น Oliver จะต้องไปที่ Bergamo เพื่อสะสางงานชิ้นสุดท้ายก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากอิตาลี พ่อและแม่ของ Elio จึงเสนอให้ Elio ไปกับ Oliver ด้วย เพราะพวกเขารู้ดีว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ Elio และ Oliver จะได้ใช้เวลาร่วมกัน ซึ่งการเดินทางไปยัง Bergamo ด้วยกันก็ดูจะกลายเป็นช่วงเวลาที่ยากจะลืมและยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ Elio เลิกเจ็บปวดกับการจากไปของ Oliver เขาเลือกที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะต้องรู้สึกอย่างไรกับความสัมพันธ์ที่เขาแน่ใจว่าเขาคงไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้ หลังจากที่แม่ของ Elio มารับเขากลับบ้าน พ่อของ Elio ก็อยู่ตรงนั้นเพื่อรับฟังและให้คำแนะนำผ่านบทพูดที่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่ทำให้ภาพยนตร์ Call Me By Your Name กลายเป็นที่จดจำ โดย Mr. Perlman ได้ทำให้ Elio รับรู้การรับรู้ถึงความรู้บ้างอย่าง ไม่ว่าความรู้สึกนั้นจะดีหรือร้าย มันก็ย่อมดีกว่าการที่ไม่รู้สึกอะไรเลย ซึ่งถ้าเราวิเคราะห์จากแค่ประโยคนั้น คำแนะนำนี้นั้นมีความหมายว่า Elio ควรจะอนุญาตให้ตัวเองได้มีเวลาเสียใจกับความสัมพันธ์ที่เพิ่งจบลง เพราะมันดีกว่าการเก็บทุกอย่างไว้กับตัว แต่อย่างไรก็ตาม นี่ยังเป็นครั้งที่พ่อของ Elio ได้บอกให้ลูกชายของเขาได้รับรู้ว่าเขานั้นสนับสนุนความรักระหว่างชาย-ชายอย่างเต็มที่ และเขากำลังพยายามบอกกับ Elio ว่า มันคงจะดีกว่าที่เขาจะรู้สึกถึงความรักที่เขามีให้ Oliver มากกว่าการที่จะเก็บงำความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ นอกจากนั้น เขายังทำให้ Elio ได้รู้ว่าเขาเองก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้เช่นกัน และที่เขายังคงเสียใจอยู่ทุกวันก็เป็นเพราะว่าเขานั้นไม่มีความกล้ามากพอที่จะยอมรับความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้นเลย
ผู้กำกับภาพยนตร์อย่าง Luca Guadagnino ได้เผยว่าเขาได้สร้างภาพยนตร์ Call Me By Your Name ขึ้นมาก็เพื่อให้ข้อมูลกับผู้ชม เขาเรียกภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็น “ภาพยนตร์เพื่อครอบครัว… เพื่อการถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกัน” และเขายังหวังอีกว่า “คนรุ่นต่างๆ จะมานั่งชมภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยกัน” ซึ่งทำให้เราเห็นได้ชัดว่าส่วนหนึ่งของเจตนาของ Guadagnino คือการถ่ายทอดการยอมรับของคนเป็นพ่อที่มีผลต่อการพัฒนาตัวตนของ Elio ให้ผู้คนทุกช่วงอายุที่ชม Call Me By Your Name ได้รับรู้ เพราะหัวข้อนี้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจไม่น้อยในเรื่องการยอมรับของพ่อว่าลูกของเขานั้นเป็นเกย์ แถมยังเป็นการยอมรับที่เป็นการยอมรับในตัวตนจริงๆ ของลูกอีกด้วย ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะที่ดูในเดือนของวันพ่อและความเท่าเทียมทางเพศเดือนนี้เป็นอย่างมาก
คุณต้อง สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ ก่อน เพื่อที่จะสามารถแสดงความคิดเห็นได้