รีวิว The Boss Baby: Christmas Bonus (2022) เมื่อบอสเบบี้ต้องไปคุมโรงงานผลิตของเล่นของซานต้า งานนี้เรื่องวุ่นๆ จึงบังเกิด
The Boss Baby: Christmas Bonus ผลงานพิเศษจากแฟรนไชส์ The Boss Baby เนื่องในโอกาสวันคริสต์มาส มาพร้อมกับความยาวเพียง 40 กว่านาที ภาพยนตร์ฉบับพิเศษเรื่องนี้เพิ่งเปิดตัวออกมาทาง Netflix เมื่อวันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยจะกำกับโดย Matt Engstrom ผู้กำกับจากการ์ตูนในตำนานอย่าง King of the Hill ซึ่งเขาจะกำกับร่วมกับ Christo Stamboliev ผู้กำกับจากการ์ตูนเด็ก All Hail King Julien
The Boss Baby: Christmas Bonus ชื่อเรื่องก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นโบนัสในวันคริสต์มาส ดังนั้น เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องนี้จึงไม่ได้มีความเชื่อมโยงใดๆ กับแฟรนไชส์หลัก สำหรับใครที่ไม่เคยดูมาก่อน ก็สามารถดูเรื่องนี้ได้เลย โดยในภาพยนตร์เรื่องนี้จะว่าด้วยเรื่องราวของ Boss Baby (พากย์เสียงโดย JP Karliak) และครอบครัวที่กำลังเตรียมตัวฉลองวันคริสต์มาสกัน แต่ดูเหมือนว่า Boss Baby จะไม่ค่อยชอบวันคริสต์มาสซักเท่าไหร่ จนกระทั่งในระหว่างที่เขาและพี่ชาย Tim (พากย์เสียงโดย Pierce Gagnon) กำลังถ่ายรูปกันซานต้าอยู่ จู่ๆ Boss Baby ที่คิดจะแกล้งซานต้าด้วยการเอาผ้าอ้อมใช้แล้วไปใส่ในถุงจดหมายของซานต้า แต่เขาดันพลาดและตกลงไปในถุงซะเอง ซึ่งเขาได้สลับตัวกับเอลฟ์นักสร้างของเล่นที่มากับซานต้า เมื่อตื่นขึ้นมา Boss Baby ก็พบว่าตัวเองอยู่ในโรงงานผลิตของเล่นของซานต้า ส่วน Tim ก็เพิ่งรู้ว่าน้องชายของตัวเองถูกสลับตัวมา งานนี้ Tim จึงต้องเดินทางไปขั้วโลกเหนือเพื่อพาน้องชายกลับมาฉลองวันคริสต์มาส ส่วนในด้านของ Boss Baby ก็เริ่มมีจิตใจผู้ประกอบการเข้าสิงและเข้ายึดโรงงานผลิตของเล่น สุดท้ายแล้วเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ทุกคนต้องไปรับชมด้วยตาตัวเอง
สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้คงไม่ต้องรีวิวอะไรมากมาย เพราะตัวหนังมีความยาวแค่เพียง 40 นาทีเท่านั้น แถมยังมาในธีมหนังวันหยุดที่เอาไว้ดูเพลินๆ แก้เครียด แต่ถึงอย่างนั้นตัวหนังก็ยังสามารถรักษาความเป็น Boss Baby ไว้ได้อย่างดี พล็อตหลักของเรื่องก็ไม่มีอะไรมาก ให้เราได้เห็น Boss Baby เด็กที่โตเกินวัยได้ไปทัวร์โรงงานผลิตของเล่น จากนั้นก็เริ่มทำตัวแสบๆ ตามแบบฉบับของ Boss Baby ทั้งไปปลุกขวัญกำลังใจพนักงานให้ลุกขึ้นมาต่อต้านซานต้า จนท้ายที่สุดลงเอยด้วยการไล่ซานต้าออกจากโรงงาน อันนี้เป็นส่วนที่ผมชอบมาก คือตัวหนังตั้งคำถามเกี่ยวกับวันคริสต์มาสได้อย่างขวางโลกและน่าจดจำจริงๆ
บทและการดำเนินเรื่องก็แสนจะเรียบง่าย ดำเนินเรื่องได้ดี สนุกเพลิดเพลิน และไม่น่าเบื่อ ดูกำลังสนุกเผลอแปปเดียวก็จบซะแล้ว แต่หากจะให้บอกว่าเรื่องนี้เป็นหนังสำหรับเด็ก ผมก็คงจะตอบได้ไม่เต็มปาก เพราะพฤติกรรมของ Boss Baby มันเป็นพฤติกรรมที่เด็กไม่ควรจะเลียนแบบซักเท่าไหร่ ส่วนตัวผมชอบตอนกลางเรื่องช่วงที่ Boss Baby ไปคุมโรงงานมากๆ แม้มันจะดูขวางโลกแต่ความคิดของเขามันฉลาดล้ำสมเป็นผู้ประกอบการจริงๆ แถมบทสรุปก็เป็นอะไรที่อบอุ่นหัวใจไม่น้อย พร้อมกับให้เราเห็นพัฒนาการของตัวละคร Boss Baby ที่จากตอนต้นเรื่องไม่ชอบเทศกาลวันคริสต์มาส จนมาท้ายเรื่องที่แม้ว่าจะยังไม่ชอบเทศกาลเหมือนเดิม แต่เขาก็เปิดใจมากขึ้นพร้อมกับบอกว่าถ้าสิ่งที่เขาไม่ชอบมันทำให้คนอื่นยิ้มได้ เขาก็พร้อมที่จะทำ ซึ่งแม้มันจะเป็นอะไรที่ซ้ำซากไปบ้าง แต่อย่าลืมไปว่านี่เป็นหนังสำหรับเด็ก ดังนั้น มันก็ต้องง่ายๆ และให้เด็กๆ เข้าใจได้แบบนี้แหละ
สิ่งที่ผมชอบมากๆ อีกอย่างในเรื่องนี้ก็คือตัวละครเอลฟ์คริสต์มาส Ding Dong Dongle (พากย์เสียงโดย Ray Chase) ที่สลับตัวกับ Boss Baby เป็นตัวละครที่น่ารักและสร้างสีสันได้ดีมาก ถือเป็นหนึ่งในตัวละครที่น่าจดจำที่สุดในเรื่องเลย ส่วนในด้านของงานแอนิเมชัน ส่วนตัวผมยังมองว่าธรรมดามากๆ งานภาพไม่ได้สวยอะไรเป็นพิเศษเลย แต่ก็อยู่ในระดับมาตรฐานทั่วไปของแฟรนไชส์นี้ ตัวละครต่างๆ ในเรื่องยังคงดีไซน์ออกมาได้น่ารัก น่าหยิกเหมือนเดิม สุดท้ายนี้ใครที่กำลังมองหาภาพยนตร์แก้เบื่อ เบาสมองไว้ดูในวันคริสต์มาส The Boss Baby: Christmas Bonus เรื่องนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีที่อยากให้ทุกคนลองเปิดใจดูกัน อย่างไรก็ตาม รีวิวนี้เป็นเพียงความรู้สึกส่วนตัวของผมเท่านั้น หากใครดูแล้วชอบหรือไม่ชอบอย่างไรก็สามารถคอมเมนต์พูดคุยกันได้ด้านล่าง
คุณต้อง สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ ก่อน เพื่อที่จะสามารถแสดงความคิดเห็นได้