บันทึกภาพยนตร์ที่คุณเคยดูแล้ว
เก็บรายชื่อภาพยนตร์ที่คุณต้องการดู
แบ่งปันความคิดของคุณเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่คุณชอบ
The Fall Guy
Monkey Man
Interstellar
Beetlejuice
ภาพยนตร์ยอดนิยมที่เหมาะจะรีวิวตอนนี้
ภาพยนตร์ที่ถูกเข้าชมมากที่สุดรายวัน
Ghostbusters: Afterlife
Just For Meeting You
They Are Mine
หมู่บ้าน โคกะโหลก
Sugar Baby
The Fall
Pain Threshold
The Shadow Effect
Territories
Magellan
The Three-Body Problem
Raiders of the Lost Library
รีวิวของรายการโทรทัศน์ที่น่าสนใจ
ข่าวหนัง น่าสนใจ
ข่าวแวดวงภาพยนตร์ ซีรีส์ ดารา นักแสดง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ตัวอย่างภาพยนตร์ ซีรีส์
ที่พลาดไม่ได้
youtube thumbnail
youtube thumbnail
youtube thumbnail
youtube thumbnail
youtube thumbnail
youtube thumbnail
youtube thumbnail
youtube thumbnail
สมาชิกยอดนิยมประจำสัปดาห์
1
avatar
อนุสรณ์
0 ฟิล์ม, 0 รีวิว, 0 จัดอันดับ
2
avatar
hsjdj
0 ฟิล์ม, 0 รีวิว, 0 จัดอันดับ
3
avatar
Patthai1111ไทย
1 ฟิล์ม, 0 รีวิว, 0 จัดอันดับ
4
avatar
Btt
0 ฟิล์ม, 0 รีวิว, 0 จัดอันดับ
5
avatar
pom8899
0 ฟิล์ม, 0 รีวิว, 0 จัดอันดับ
6
avatar
บอสเซอร์
0 ฟิล์ม, 0 รีวิว, 0 จัดอันดับ
7
avatar
ดอกเห็ด
0 ฟิล์ม, 0 รีวิว, 0 จัดอันดับ
8
avatar
Mai
1 ฟิล์ม, 0 รีวิว, 0 จัดอันดับ
9
avatar
Ounsuwan
0 ฟิล์ม, 0 รีวิว, 0 จัดอันดับ
10
?
รีวิวยอดนิยมประจำสัปดาห์
Dune: Part Two
Dune: Part Two
สำหรับภาคนี้บอกเลยว่าของดีจัดๆ ภาคแรกดีแค่ไหน ภาคนี้ยิ่งดีขึ้นไปอีก ยกให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์แห่งยุคนี้เลย แต่ต้องเตือนสำหรับคนที่ไม่เคยดูตั้งแต่ภาคแรกก่อนว่าคุณควรศึกษาเซ็ตอัพของโลกในหนังก่อนที่จะไปดู เพราะถ้าเริ่มดูภาคแรกเลยแบบหัวโล่งๆ มันจะรู้สึกเหนื่อยและอืดไปหมด อย่างผมตอนดูภาคแรกก็คือเข้าไปดูแบบหัวโล่งๆ เลย คือชอบนะแต่ยังไม่ได้อินมากเพราะยังไม่ค่อยเข้าใจ แถมตัวละครก็เยอะมาก พอได้มาอ่านเรื่องราวเซ็ตอัพโลกหลังจากดูภาคแรกไปรอบนึงถึงจะเก็ตและชอบขึ้นมา มันเป็นหนังที่เราต้องดูภาค 1-2 แบบติดกัน เพราะเรื่องราวมันต่อเนื่องกันเลย ภาคแรกเขาใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการปูเรื่องราว ให้เราได้เห็นว่ามีตัวละครอะไรบ้าง ตัวละครแต่ละตัวเป็นยังไง มีเผ่าอะไรบ้าง มีบ้านอะไรบ้าง เป้าหมายของตัวเอกคืออะไร ดังนั้น หลายคนที่ดูภาคแรกเลยอาจจะไม่ชอบเพราะรู้สึกว่ามันช้า แต่พอมาภาคนี้ทุกอย่างมันเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว การเล่าเรื่องมันเลยไหลลื่นมาก เป็นหนังที่เน้นคุยกัน แต่มันดันสนุกมาก เขียนบทมาดีมากจริงๆ ไดอะล็อกแต่ละอย่างที่ตัวละครพูดมันดีงามหมด เล่าเรื่องดีมาก มีการเกริ่นทิ้งไว้ให้เราสงสัยตอนแรก พอช่วงท้ายเรื่องทุกอย่างก็คลี่คลายแบบหมดจด เก็บรายละเอียดดีมากๆ ชอบที่เขาพาเราไปเจาะลึกถึงจิตใจและแสดงให้เราเห็นถึงจุดยืนของแต่ละตัวละครที่แตกต่างกัน คือมันไม่ใช่หนังไซไฟอวกาศที่เน้นไปที่ให้เราเห็นฉากต่อสู้เท่ๆ ยานอวกาศเจ๋งๆ คือมันก็มีหมดนะพวกฉากเหล่านั้น แต่มันไม่ได้เยอะมาก เนื้อของหนังจริงๆ มันคือการพาเราไปอยู่ในโลกนั้นจริงๆ เน้นไปที่เรื่องสงคราม ความสูญเสีย เกมการเมือง แต่สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อสารออกมามากที่สุดก็คือเรื่องที่ว่าความเชื่อและความศรัทธามันสามารถชักนำผู้คนได้ขนาดไหน โดยเล่าผ่านตัวละครอย่าง Paul Atreides เด็กหนุ่มในคำทำนายผู้ที่มักตั้งคำถามและไม่เคยเชื่อว่าตัวเองเป็นเด็กคำทำนาย ในขณะเดียวกันเขาก็ทิ้งให้คนดูได้ตั้งคำถามต่อว่าคำทำนายที่ว่านี้สรุปแล้วมันจริงแท้แค่ไหน? เพราะมันเป็นคำทำนายของเผ่า เบเนเจสเซริต กลุ่มสตรีผู้ที่คอยบงการทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง หรือว่าง่ายๆ ก็คือ คำทำนายนี้มันถูกสร้างมาเพื่อใช้เป็นอำนาจในการควบคุมผู้คนผ่านความเชื่อ ความศรัทธา และเมื่อคุณกุมหัวใจผู้คนได้แล้ว คุณจะมีอำนาจเหนือคณานับ ผู้คนพร้อมจะสละทุกอย่างเพื่อคุณแม้กระทั่งชีวิต มันไม่ใช่แค่การครองใจคน แต่มันคือการที่ทุกคนยกย่องพระเอกเป็นเหมือนพระเจ้า มันคือสิ่งที่ไม่ว่าจะมีกำลังทหารหรือทรัพสมบัติมากแค่ไหนก็ไม่สามารถซื้อได้ แต่ไม่ได้มีแค่บทเท่านั้นที่ดี เพราะส่วนอื่นๆ ก็ดีงามไร้ที่ติไม่แพ้กัน นักแสดงคือแสดงดีทุกคนจริงๆ แถมภาคนี้ยังเพิ่มนักแสดงเข้ามาอีกหลายคน ซึ่งทุกคนที่มาใหม่คือสุดยอดกันหมด แสดงดีปล่อยของใส่กันไม่ยั้งเลย Timothée Chalamet และ Zendaya แบกหนังทั้งเรื่องได้แบบสบายๆ โดยเฉพาะ Timothée ฉากหลังจากที่ดื่มน้ำแห่งชีวิตไปแล้ว เราจะเห็นได้เลยว่าตัวละครพระเอกเปลี่ยนไปมาก ทั้งสีหน้า แววตา การตัดสินใจ จากตอนแรกที่ยังกล้าๆ กลัวๆ มีความลังเล พอได้ดื่มไปแล้วเหมือนกลายเป็นอีกคนไปเลย ซึ่ง Timothée แสดงได้ดีมากจริงๆ อีกคนที่ต้องชมเลยคือ Austin Butler ตัวร้ายสุดเท่ที่มาน้อยแต่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกซีนที่ออกมาคือเอาคนดูอยู่หมัด ทั้งเท่ทั้งโรคจิตในเวลาเดียวกัน ส่วน Florence Pugh ก็แสดงได้ดีงามตามมาตรฐานเช่นกัน สุดท้ายที่ต้องพูดถึงเลยคืองานภาพและงานด้านโปรดักชัน ส่วนนี้คือดีงามแบบ 100/10 ผู้กำกับภาพและคนออกแบบฉากคือเก่งมาก คาราวะเลย งานภาพสวยทุกซีนแบบไร้ที่ติ ดูแล้วรู้เลยว่าเขาวางแผนการถ่ายทำมาดีมาก ทุกอย่างผ่านการคิดอย่างถี่ถ้วนมาหมด ทั้งแสงทั้งเงา มันเป๊ะไปหมด ส่วนงานด้านโปรดักชันเองก็จัดเต็มจัดหนักกว่าภาคแรก ซีจีดีมาก งานออกแบบก็ยอดเยี่ยม เสื้อผ้าหน้าผมก็ดีงาม ทุกอย่างยังเนี้ยบเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือความอลังการที่เหนือกว่าภาคแรก สุดท้ายนี้ที่อยากจะฝากไว้คือ เรื่องนี้ต้องไปดูในระบบ IMAX จะดีที่สุด เพราะมันเป็นหนังที่สร้างมาเพื่อ IMAX โดยเฉพาะ คือต่อให้คุณไม่ได้อินกับเรื่องราว แต่แค่ได้เข้าไปดูงานภาพสุดอลังการผมว่ามันก็คุ้มค่าตั๋วแล้ว ส่วนใครที่ดูภาคแรกแล้วชอบอยู่แล้ว ผมมันใจเลยว่าหากได้ดูภาคนี้คุณจะยิ่งรัก Dune เพิ่มขึ้นไปอีก ไปดูกันเถอะครับ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน
RedLife
RedLife
เป็นหนังที่เปิดมาด้วยประเด็นแรงๆ เล่าเข้มๆ ผ่านเรื่องราวของกลุ่มคนที่อยู่ในแถบวงเวียน 22 ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายมากมายที่มาบรรจบกันได้อย่างลงตัวด้วยความรู้สึกอันหมดหวัง ชอกช้ำและเกลียดชังชีวิตอันเฮงซวย รวมถึงทุกอารมณ์ที่ถูกส่งออกมาจากฝีมือของเหล่านักแสดงที่สามารถถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างละเอียดอ่อน ขอเทใจให้กับนักแสดงทุกคนในเรื่องนี้ เก่งจริงๆ ยอดเยี่ยมมาก ส่วนงานโปรดักชั่นเก็บครบหมดจริง ชอบโลเคชั่นมาก แต่ละภาพที่ออกมาคือรู้เลยว่าลงพื้นที่เยอะมากรู้ทุกมุมที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น หรือบางฉากก็ดึงความโดดเด่นของพื้นที่ตรงนั้นมาเล่าได้ดีมาก แม้ว่าจะยังไม่ได้เล่าเรื่องอะไรแต่แค่สถานที่ตรงนั้นก็ทำให้หนังมันเหงา มันโดดเดี่ยวมากๆ
Argylle
Argylle
หนังสายลับสุดกาวจากผู้กำกับ Kingsman ติดตามเรื่องราวของ Elly Conway (รับบทโดย Bryce Dallas Howard) นักเขียนนิยายสายสืบยอดฮิตที่ดันถูกลากไปพัวพันกับภารกิจสายลับของจริงๆ เมื่อผลงานที่เธอเขียนดันไปตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ทำให้เธอถูกองค์กรชั่วร้ายไล่ล่า แต่ในขณะเดียวกัน Aidan Wilde (รับบทโดย Sam Rockwell) สายลับปริศนาก็ได้เข้ามาช่วยเธอ และพาเธอไปร่วมทำภารกิจเพื่อปกป้องโลก หนังเรื่องนี้คือส่วนตัวผมค่อนข้างตั้งตารอมากๆ แต่พอได้ไปดูจริงๆ กลับไม่ชอบอย่างที่คิด ตัวเริ่มเปิดเรื่องมาได้ดี มีการสับขาหลอกคนดูให้ดูฉากสายลับตอนแรก ก่อนจะเฉลยว่ามันเป็นฉากในนิยาย จากนั้นก็ดำเนินเรื่องอย่างลื่นไหลให้เราได้เห็นนางเอกไปร่วมมือกับพระเอกเพื่อทำภารกิจ ซึ่งในระหว่างทางก็จะมีฉากแอ็กชันและการไล่ล่าเข้ามาเพื่อให้เราไม่เบื่อ ช่วงต้นถึงช่วงกลางคือทำมาได้ค่อนข้างดีใช้ได้เลย ดูได้สนุกเพลินๆ จนมาถึงช่วงกลางเรื่องทุกอย่างก็เริ่มกาวขึ้นเรื่อยๆ ตัวหนังพาเราไปจุดหักมุมหลายครั้ง แบบหักแล้วหักอีก คือมันหักมุมหลายรอบจนไม่สนุก ซึ่งมันไม่ได้เป็นเพราะว่าการหักมุมหลายรอบเป็นเรื่องไม่ดี แต่ที่มันดรอปมันเพราะการหักมุมที่เขาหักมันไม่ได้ทำให้คนดูว้าวมากพอ คือมันเป็นอะไรที่พอเดาได้ แถมการหักมุมเหล่านี้มันก็ทำให้ตัวหนังยืดยาวกินจำเป็นอีกด้วย ช่วงซีนท้ายเรื่องนี่คือเนื้อเรื่องออกทะเลไปไกลมาก อีกอย่างคืองาน CG ไม่ค่อยดี ฉากที่ใช้ CG คือลอยมากๆ ทุกฉาก ภาพมันเหมือนเกมมากกว่าหนัง ยังดีที่ฉากแอ็กชันทำออกมาได้ดี แม้ว่ามันจะดูเวอร์วังไปบ้าง แต่ผมมองว่ามันเป็นฉากที่เวอร์แบบแหวกแนวและน่าจดจำดี สิ่งเดียวที่ผมติดเลยคือความยืดเยื้อของตัวหนัง หนังมันไม่ควรยาวถึง 2 ชั่วโมงด้วยซ้ำ ช่วงท้ายเรื่องอารมณ์มันเลยดรอปไปหมดแล้ว จากที่สนุกมาแรกๆ ก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ เพราะเขาพยายามยืดให้มันไม่จบเสียที สรุปโดยรวมเลยก็คือ เรื่องนี้เป็นหนังแอ็กชันที่แหวกแนว สนุกดูเพลิน แต่ไม่ค่อยมีความน่าจดจำเท่าไหร่ เอาเป็นว่าไปดูกันเองดีกว่า ผมไม่ค่อยชอบ ก็ไม่ได้แปลว่าทุกคนจะรู้สึกเหมือนกัน
The Beekeeper
The Beekeeper
หนังแอ็กชันเรื่องล่าสุดของป๋าเจสัน สเตแธม ว่าด้วยเรื่องราวของ คนเลี้ยงผึ้งปริศนา (รับบทโดย เจสัน สเตแธม) ที่ได้เช่าพื้นที่ของยายแก่ใจดีคนหนึ่งอยู่ แต่อยู่มาวันหนึ่งยายแก่ที่แสนใจดีคนนี้กลับโดนพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกจนหมดตัว ซึ่งยายรับมือไม่ไหวจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย งานนี้หนุ่มเลี้ยงผึ้งจึงตัดสินออกตามถล่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์เพื่อแก้แค้นให้ยาย เรื่องนี้คือสนุกดูเพลินมาก เป็นหนังแอ็กชันแบบเน้นบันเทิงล้วนๆ ไอเดียตั้งต้นของพล็อตทำมาดี น่าสนใจ แต่บทอาจจะธรรมดาไปหน่อย การดำเนินเรื่องทำได้ดี เล่าเรื่องไว กระชับ โบ๊ะบ๊ะมากๆ ป๋าเจสันเรื่องนี้คือเท่มาก ไม่พูดเยอะเน้นหวดอย่างเดียว ชอบที่เขาเขียนบทมาให้ตัวพระเอกดูลึกลับ มันทำให้คนดูลุ้นตลอดเรื่องว่าสรุปแกเป็นใคร ทำให้น่าติดตามมากขึ้น แถมหนังยังเลยเถิดเตลิดไปไกลมากๆ จากปัญหาเล็กๆ ไปจนสู่ระดับชาติ ส่วนนี้คือผมชอบมากๆ ยกให้เป็นอีกหนึ่งหนังแอ็กชันที่ทุกคนควรดู